December 26, 2009

วงเสวนา"ผู้นำยุคใหม่" ชี้"อภิสิทธิ์"เก่งแต่ไม่เด็ดขาด -วิเคราะห์ว่าได้ความรู้อะไร


วงเสวนา"ผู้นำยุคใหม่" ชี้"อภิสิทธิ์"เก่งแต่ไม่เด็ดขาด แก้ปัญหาประเทศได้แค่ชั่วคราว" ห่วงผู้นำไร้วิสัยทัศน์พาสังคมวิกฤต (อ่านข่าวได้ด้านล่าง)

****

บทวิเคราะห์เชิงวิชาการ "วงเสวนา"ผู้นำยุคใหม่" ชี้"อภิสิทธิ์"เก่งแต่ไม่เด็ดขาด แก้ปัญหาประเทศได้แค่ชั่วคราว" ห่วงผู้นำไร้วิสัยทัศน์พาสังคมวิกฤต ...ได้ความรู้อะไร"โดย ดร.ดนัย เทียนพุฒ

1.ตามที่เป็นข่าวเสวนาทางวิชาการเรื่อง "ผู้นำทางการเมืองยุคใหม่เพื่อพัฒนาประเทศไทย"
ทั้งได้ฟังและอ่านจาก นสพ. แล้ว ทำให้เกิดความคิดว่า
-ประเด็นที่พูดคุยกันนั้น ไม่ค่อยได้ความรู้อะไรเพราะเป็นการพูดจาก สามัญสำนึก และประสบการณ์ของผู้พูด
-แล้วคนฟังจะเกิดปัญญาที่จะไปคิดต่อ คงทำได้ยากเพราะไม่รู้จะต่อปัญญาจากฐานความรู้อะไร

2.ต้องยอมรับความจริงในเรื่องการศึกษาเกี่ยวกับผู้นำของไทยเราเรียนรู้กันในทฤษฎีของตะวันตกด้านความเป็นผู้นำแต่ขาดการศึกษาและเรียนรู้ที่จะพัฒนาทฤษฎีฯ ของไทยเราเอง
การจะวิเคราะห์ "ผู้นำทางการเมือง" นอกจากใช้ความรู้ทางด้าน นิติรัฐ และ รัฐศาสตร์ แล้วยังต้องเพิ่มความรู้ด้าน ทฤษฎี "ผู้นำแบบมีบารมี" หรือ Charismatic Leadership (House,R.J. 1976 )
มิฉะนั้น ก็ไม่สามารถทำความเข้าใจ "ผู้นำทางการเมืองของไทยได้ ว่าทำไมจึงไม่สำเร็จหรือ พบตามตัวอย่างที่ผู้นำการสัมมนาพูดถึง

3.และหากคนไทยหรือ นักวิชาการ หรือ ผู้ที่เป็นผู้นำทางวิชาการของประเทศ อยากจะศึกษาและ สร้างองค์ความรู้ด้านความเป็นผู้นำ ต้องศึกษาการเป็นผู้นำ จากแนวคิดของ Campbell (1968) The Hero with a Thousand Faces.
4. หลังจากนั้นค่อยมาสร้าง "ปรัชญาความเป็นผู้นำของไทย" และ ทฤษฎีความเป็นผู้นำของเราเอง
หลายท่านอาจจะมีคำถามว่า แล้วผู้เขียนคิดจะสร้างไหม คำตอบกำลังศึกษาอยู่ครับ คงได้เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้น แต่ต้องยอมรับว่าใช้รากฐานทางความคิดของตะวันตกมาปรับเข้ากับบริบทของไทย เพราะเราไม่มี"องค์ความรู้ (Body of Knowledge) "ด้านนี้มาก่อน

5. เรื่องจิตสาธารณะ และ จริยธรรมของผู้นำ ถ้าเรามี ปรัชญาความเป็นผู้นำของไทย เราจะรู้ได้เลยว่า เรื่องนี้มีอยู่ในปรัชญาความเป็นผู้นำ ฯ อยู่แล้ว ยกเว้นท่านไม่ทราบว่า ในปรัชญานั้นว่าด้วยอะไรบ้าง

คงต้องใช้เวลาและการตกผลึกทางทฤษฎีอีกระยะ แต่ ผู้เขียนคืบหน้าไปพอสมควรแล้ว และได้มีการสอนเผยแพร่ไปบ้าง โดยใช้ชื่อว่า Leadership Adventure ครับ

ดร.ดนัย เทียนพุฒ


******************
ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ มีการจัดสัมมนาเรื่อง “ ผู้นำการเมืองยุคใหม่เพื่อพัฒนาประเทศไทย” โดยมีนายวิชา มหาคุณ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต นายวิทยากร เชียงกูล คณบดีวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต เป็นวิทยาลกร มีประชาชนสนใจเข้าร่วมรับฟังประมาณ 60 คน
นายวิชา กล่าวตอนหนึ่งว่า ตนยืนยันว่าการเลือกตั้งไม่ใช่สูตรสำเร็จในระบอบประชาธิปไตย และขณะนี้คนไทยยังขาดการศึกษาที่ถูกต้องในคำว่าประชาธิปไตย เพราะการพัฒนาประเทศจะพัฒนาได้ต้องมีผู้นำที่มีความฉลาดทุกด้าน ความฉลาดนี้ไม่ใช่แค่เก่ง มีความรู้ ปกครองคนได้ แต่ต้องมีคุณธรรม จริยธรรม มีจิตสำนึกในการทำหน้าที่เพื่อประโยชน์ส่วนรวมอย่างแท้จริง
“สังคมไทยให้แค่การศึกษา แต่ไม่ได้ให้มีการคิดวิเคราะห์แยกแยะได้ แต่มุ่งเน้นสั่งสอนให้รู้จักกตัญญูรู้คุณคนถึงจะเป็นคนดี มันจึงเกิดระบบอุปถัมภ์ขึ้นเพราะต้องตอบแทนผู้มีบุญคุณ ผมถือว่าการศึกษาของสังคมไทยล้มเหลว เพราะไม่มีการสอนให้รู้จักการแยกแยะระหว่างประโยชน์ส่วนตัวกับประโยชน์ส่วนรวมให้ออกจากกันได้ ” นายวิชา กล่าว
นายวิชา ยังกล่าวอีกว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ได้คะแนนเต็มในส่วนที่ตั้งใจจะเป็นผู้นำมีความคิดอยากพัฒนาประเทศ แต่กลับไม่เกิดผลสำเร็จ เพราะในรัฐบาลชุดนี้มีหลายพรรค ซึ่งนายอภิสิทธิ์จะต้องตอบแทนบุญคุณ ทั้ง ๆ ที่บางอย่างตนเชื่อว่า นายอภิสิทธิ์ ทราบดีว่าสิ่งใดถูกต้องควรทำหรือไม่ควรอนุมัติ แต่ก็ไม่สามารถตัดสินใจให้เด็ดขาดได้ เพราะต้องรักษาน้ำใจของคนร่วมรัฐบาล นายอภิสิทธิ์จึงยังขาดความเด็ดขาด ถือว่ายังไม่เข้าถึงหน้าที่ในด้านจิตสำนึกเพื่อสาธารณะ แต่หากท่านทำได้อย่างเด็ดขาดกับสิ่งที่ไม่ถูกต้องต่อสังคมส่วนรวมได้สมบูรณ์จะถือว่าท่านประสบความสำเร็จในการเป็นผู้นำอาจได้สูงถึง 8 คะแนนก็เป็นได้
..................


http://fbshare.me/TQrv วันที่ 26 ธันวาคม 2552
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์...

November 10, 2009

รวมตัวตั้งกลุ่มทุนค้าปลีกไทย จุดยืน "เชนสโตร์-โชห่วย" ผลประโยชน์ใคร ?

รวมตัวตั้งกลุ่มทุนค้าปลีกไทย จุดยืน "เชนสโตร์-โชห่วย" ผลประโยชน์ใคร ?
วันที่ 09 พฤศจิกายน พ.ศ. 2552 ปีที่ 33 ฉบับที่ 4156 ประชาชาติธุรกิจ
http://www.prachachat.net/view_news.php?newsid=02mar02091152&sectionid=0207&day=2009-11-09
คอลัมน์ จับกระแสตลาด



และแล้ว "ซี.พี.เซเว่นอีเลฟเว่น" ได้กลายเป็นตัวแปรใหม่ที่สร้างความสงสัยอย่างกว้างขวางให้เกิดขึ้นกับแวดวงค้าปลีกไทย

พลันที่ "ซี.พี.ออลล์" นำทีมผู้ประกอบการค้าปลีกไทย อาทิ ตั้งฮั่วเส็ง-โฮมโปร-วิลล่า มาร์เก็ต-ช้อยส์ มินิสโตร์ (กลุ่มตันตราภัณฑ์เชียงใหม่ ผู้ดำเนินธุรกิจเซเว่น อีเลฟเว่นในเชียงใหม่ ลำพูน และแม่ฮ่องสอน รวม 160 สาขา) และอื่น ๆ รวม 20 ราย ตั้งโต๊ะแถลงข่าวตั้ง "สมาคมพัฒนาผู้ประกอบการธุรกิจค้าปลีกทุนไทย" (The Development of Thai Capital Retailers Association หรือ DTRA) ขึ้นมา ในช่วงบ่ายของวันพุธที่ 4 พฤศจิกายนนี้ เมื่อต้นสัปดาห์ที่ผ่านมา

เป็นการแยกวงจากที่เคยสังกัดอยู่ในสมาคมผู้ค้าปลีกไทย

เช้าวันเดียวกับที่มีแถลงข่าวเปิดตัวนั้น สมาคมผู้ค้าปลีกไทยที่ปัจจุบัน "ธนภณ ตังคณานันท์" ผู้บริหารจากเครือเซ็นทรัล สวมหมวกเป็นประธานต่อเนื่องสมัยที่ 2 ได้เรียกประชุมสมาชิก แม้จะออกตัวว่ายังไม่ทราบแน่ชัดเกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของสมาชิกที่แตกตัวออกไปตั้งสมาคมใหม่

"ธนภณ" สงวนท่าทีกับเรื่องนี้เป็นพิเศษ ทั้งยังมองว่าการรวมกลุ่มกันเป็นเรื่องที่ดีแต่ทุกอย่างย่อมขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์และจุดมุ่งหมายของการทำงาน

ขณะที่ "สุวิทย์ กิ่งแก้ว" รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) นายกสมาคม DTRA สด ๆ ร้อน ๆ ระบุว่า ยังคงเป็นสมาชิกของสมาคมผู้ค้าปลีกอยู่ แต่อาจต้องลดบทบาทและการทำงานลงเพื่อมาดูแลสมาคมใหม่นี้อย่างเต็มตัวและเต็มเวลา

สุวิทย์แจกแจงว่า การทำงานหลัก ๆ สมาคมจะเข้ามาดูแลให้ความช่วยเหลือ อบรมความรู้และเทคนิคการบริหารร้านรูปแบบต่าง ๆ แก่สมาชิกกลุ่มค้าปลีก สายพันธุ์ไทยด้วยกันเอง โดยเฉพาะค้าปลีกรายย่อย (โชห่วย) กว่า 4 แสนรายทั่วประเทศที่ขึ้นทะเบียนไว้กับกระทรวงพาณิชย์ เพื่อต่อสู้และรับมือการแข่งขัน

ทั้งยังให้เหตุผลว่า ที่ผ่านมายังไม่มีการรวมกลุ่มระหว่างผู้ประกอบการค้าปลีกที่เป็น "ทุนของคนไทย" อย่างชัดเจน ขณะที่ผู้ประกอบการเองก็ต้องการให้มีสมาคมที่เป็นศูนย์กลางในการช่วยเหลือด้านการดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการค้าปลีกทุนไทยโดยเฉพาะ และได้กำหนดคุณสมบัติของสมาชิกว่าจะต้องเป็นผู้ประกอบการค้าปลีกที่มีคนไทยเป็น "ผู้ถือหุ้นใหญ่" เท่านั้น

เทียบกับสมาคมผู้ค้าปลีกไทยที่ไม่ได้มีข้อกำหนดนี้

จะเป็นทุนไทย หรือร่วมทุนไทย-เทศ หรือทุนต่างประเทศล้วน ๆ สามารถเป็นสมาชิกสมาคมผู้ค้าปลีกได้ทั้งสิ้น

เมื่อมีข้อกำหนดว่าต้องเป็น "ทุนไทย" อย่างชัดแจ้ง จึงไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใดที่ย่อมมีคำถามตามมาว่า การก่อตั้งสมาคมใหม่นี้เกี่ยวข้องกับกระแส "ต่อต้านค้าปลีกต่างชาติ" ใช่หรือไม่

คำถามนี้แจ่มชัดขึ้นอีกระดับหนึ่ง เมื่อ "สุวิทย์ กิ่งแก้ว" ยืนยันกับผู้สื่อข่าวว่า ภารกิจแรกของ DTRA คือจะเข้าร่วมนำร่องประชาพิจารณ์ที่จังหวัดสงขลา ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากวันแถงข่าวเปิดตัวแค่วันเดียว เพื่อแสดงบทบาทและสะท้อนความต้องการที่เป็นกลุ่มก้อนในฐานะค้าปลีกไทย

หัวขบวนใหม่ผู้นี้ยังมองว่า ร่าง พ.ร.บ. ค้าปลีกฯดังกล่าวยังไม่มีความชัดเจนในหลาย ๆ ประเด็น และเนื้อหาส่วนใหญ่ให้น้ำหนักไปที่กลุ่มโมเดิร์นเทรด แต่ไม่มีมาตรการที่จะช่วยเหลือผู้ประกอบการค้าปลีกรายเล็กที่เป็นรูปธรรมแต่อย่างใด

อย่างไรก็ตาม ด้านหนึ่งต้องยอมรับว่า ร่าง พ.ร.บ.ค้าปลีกฯที่กำลังแก้ไขกันอยู่นี้ ไม่ได้มีการแยกระหว่าง "ทุนไทย" และ "ทุนต่างประเทศ"

หากแยกระหว่าง "ค้าปลีกสมัยใหม่-โมเดิร์นเทรด" กับ "ค้าปลีกดั้งเดิม-โชห่วย" เป็นประเด็นหลัก

เมื่อดูจากร่าง พ.ร.บ.ฉบับนี้ย่อมทำให้ "เซเว่นอีเลฟเว่น" ถูกเหมารวมอยู่ในซีก คอนวีเนี่ยนสโตร์ เฉกเช่นเดียวกับ "เทสโก้ โลตัส เอ็กซ์เพรส"

เป็นยักษ์ใหญ่ที่รุมรังแกโชห่วย

ขณะที่ซูเปอร์มาร์เก็ตสัญชาติไทยอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นฟู้ดแลนด์ เก็ท-อิท ซูเปอร์ มาร์เก็ตของตั้งฮั่วเส็ง หรือวิลล่า มาร์เก็ต ย่อมไม่ต่างอะไรจาก "ตลาดโลตัส"

ย้อนกลับไปที่ประเด็น "ทุนไทย" "ทุนต่างประเทศ" ยังเป็นข้อสังเกตว่า ในกรณีตั้งฮั่วเส็ง-โฮมโปร-วิลล่า มาร์เก็ท คงไม่น่ามีปัญหาสำหรับการนิยามตัวเองว่าเป็นค้าปลีกสายพันธุ์ไทย แต่สำหรับสถานภาพ ของคอนวีเนี่ยนสโตร์ "เซเว่นอีเลฟเว่น" ที่ยังคงต้องเสียค่าไลเซนส์ให้กับต่างชาติ อยู่นั้นจะอยู่ในนิยามจุดยืนสายพันธุ์ไทยหรือไม่

ขณะเดียวกันถ้าจะเปรียบ "ซี.พี.ออลล์" กับ "บิ๊กซี" ก็ไม่น่าจะแตกต่างกัน เพราะอยู่ในตลาดหลักทรัพย์ฯทั้งคู่ มีผู้ถือหุ้นทั้งไทย-เทศ ผสมปนเปกัน

ประกอบกับเมื่อไล่ย้อนดูบทบาทของ "ซี.พี.ออลล์" เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ได้มีการส่งตัวแทนไปนั่งเป็นประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทยมาแล้ว ย่อมไม่ใช่เรื่องแปลกที่ทุกสายตาย่อมเพ่งมองไปที่การเล่นบท "หัวหอก" ของ ซี.พี.ออลล์ ด้วยแววตาที่สงสัยยิ่ง

กระนั้นก็ตาม หาก "ซี.พี.ออลล์" สามารถพิสูจน์ตัวเองว่า ทำเพื่อโชห่วย จริง ๆ ย่อมเป็นเรื่องที่น่าสนใจอย่างยิ่ง

ผลจากการกระทำย่อมเป็นตัวชี้เจตนาเป็นอื่นไปไม่ได้

หน้า 17

October 17, 2009

เทสโก้ ลงทุน 7พันล้านลุยค้าปลีกไทย 5 ปี

"เทสโก้" ควักอีก 7 พันล้านเดินหน้าขยายสาขาต่อเนื่องปีหน้า ชี้เทรนด์ค้าปลีกแข่ง"ราคา"ฝุ่นตลบ

"เทสโก้ฯ" ควักกระเป๋าอีก 7 พันล้าน เดินหน้าลงทุนขยายสาขาต่อเนื่องปีหน้า พร้อมชี้เทรนด์ค้าปลีกแข่งราคาฝุ่นตลบ เล็งเพิ่มช่องทางขายออนไลน์รับพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยน

นายสตีฟ แฮมเม็ทท์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอก-ชัย ดิสทริบิวชั่น ซิสเทม จำกัด ผู้บริหารห้างเทสโก้ โลตัส กล่าวว่า แม้สภาพเศรษฐกิจในปีนี้จะแย่มากแต่บริษัทจะยังคงเดินหน้าลงทุนต่อเนื่องปีละไม่ต่ำกว่า 7,000 ล้านบาท โดยการเปิดสาขาในปีหน้าวางแผนจะใช้งบฯลงทุนใกล้เคียงกับปีนี้ หลัก ๆ มีแผนจะเปิดพลัส ช้อปปิ้งมอลล์ ซึ่งใช้เงินลงทุนสาขาละ 200 ล้านบาท อีก 1-2 สาขา อย่างไรก็ตามบริษัทจะพิจารณาถึงภาพรวมเศรษฐกิจและการทำตลาดของคู่แข่งประกอบไปด้วย

ภายในสิ้นปีจะเปิดสาขาใหม่เป็นไฮเปอร์มาร์เก็ต 6 สาขา ตลาดโลตัส 10 สาขา และโลตัส เอ็กซ์เพรส 60 สาขา ทำให้สิ้นปีนี้เทสโก้ฯมีไฮเปอร์มาร์เก็ต 82 สาขา ตลาดโลตัส 34 สาขา และโลตัส เอ็กซ์เพรส 460 สาขา ปัจจุบันเทสโก้ฯยังมีสาขาไม่ถึง 5% ของภาพรวมธุรกิจค้าปลีกสมัยใหม่ซึ่งมีสาขารวมกันมากกว่า 10,000 สาขา
"เราเริ่มเห็นสัญญาณที่บ่งบอกว่าเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้นตั้งแต่เดือนกันยายน แต่ส่วนตัวยังไม่เชื่อมั่น 100% เพื่อรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน เราจะยังเน้นกลยุทธ์ราคาที่ช่วยลดภาระการใช้จ่ายลูกค้าเป็นเครื่องมือหลักเช่นเดียวกับห้างอื่น ๆ"

นายสตีฟยังได้กล่าวถึงแผนใน 5 ปีข้างหน้าว่า จะเน้นเพิ่มทราฟฟิกลูกค้าให้มากขึ้น จากเดิมมีลูกค้าใช้บริการที่เทสโก้ฯราว 1 ล้านคนต่อวัน และจะปรับปรุงสินค้าและบริการให้สอดคล้องกับความต้องการของลูกค้ามากขึ้น รวมถึงความเป็นไปได้ที่จะเปิดให้บริการอีคอมเมิร์ซในชื่อ www.tesco.com โดยจะเน้นขายสินค้ากลุ่มโกรเซอรี่

ขณะที่ ดร.ดามพ์ สุคนธทรัพย์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส เทสโก้ฯ กล่าวเสริมว่า ธุรกิจค้าปลีกจำเป็นต้องศึกษาเรื่องการขยายช่องทางใหม่ ๆ ที่สอดรับกับความต้องการ วิถีชีวิต และรสนิยมของผู้บริโภค หากลูกค้าไทยมีความต้องการเรื่องนี้สูงบริษัทก็จะทำการศึกษาอย่างจริงจังต่อไป

"ที่ผ่านมาเราได้ลงทุน 37 ล้านบาท เพื่อขยายการให้บริการบิลเพย์เม้นท์ ซึ่งเดิมวางแผนคุ้มทุนภายใน 5 ปี แต่ปรากฏว่าบิลเพย์เม้นท์เกือบจะถึงจุดคุ้มทุนได้ภายในปีแรกที่ให้บริการ ปัจจัยความสำเร็จส่วนหนึ่งมาจากสูตรสำเร็จจากประเทศอังกฤษ"

ดร.ดามพ์กล่าวอีกว่า ตลอดทั้งปีคาดว่าบริษัทจะมีรายได้เติบโตขึ้น 3-5% ซึ่งเป็นการเติบโตระดับเดียวกันกับภาพรวมธุรกิจค้าปลีก เนื่องจากปีนี้เศรษฐกิจไม่ปกติทำให้ลูกค้าระมัดระวังการจับจ่ายมากขึ้น ส่งผลให้เกิดการแข่งขันที่รุนแรงในธุรกิจค้าปลีก โดยเฉพาะการใช้กลยุทธ์ด้านราคา และคาดว่าภาพการแข่งขันด้านราคาจะยาวต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้า

วันที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2552 เวลา 14:15:56 น. ประชาชาติธุรกิจออนไลน์

http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1255752555&grpid=03&catid=00

October 9, 2009

เซ็นทรัลกรุ๊ป ปรับโครงสร้างบริหารใหม่ ต.ค.52

นายวันชัย จิราธิวัฒน์ ประธานกรรมการ บริษัท กลุ่มเซ็นทรัล จำกัด หรือ เซ็นทรัล กรุ๊ป เปิดเผยว่า บริษัทได้ปรับปรุงโครงสร้างการบริหารธุรกิจใหม่ เพื่อเสริมศักยภาพและเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารงานใหมีความคล่องตัวมากขึ้น ซึ่งการปรับปรุงโครงสร้างบริหารครั้งนี้ ประกอบไปด้วย คณะกรรมการ 2 ชุด คือ คณะกรรมการกำกับการบริหาร Supervisory Board (SB) และคณะกรรมการบริหาร CEO Management Board (CMB) โดยคณะกรรมการกำกับการบริหาร SB มีหน้าที่กำกับดูแลการบริหารธุรกิจของคณะกรรมการบริหาร CMB ให้ดำเนินไปอย่างมีประสิทธิภาพตามธรรมนูญและตรงตามเจตนารมณ์ของ คณะกรรมการบริษัท โดยมีนายสุทธิชัย จิราธิวัฒน์ เป็นประธานกรรมการ นายสุทธิเกียรติ จิราธิวัฒน์ เป็นรองประธาน และ กรรมการ คือ นายสุทธิชาติ จิราธิวัฒน์ และนายสุทธิศักดิ์ จิราธิวัฒน์

ส่วนของคณะกรรมการบริหาร CMB มีหน้าที่ในการบริหารจัดการบริษัทต่าง ๆ ในกลุ่มเซ็นทรัล โดยเฉพาะการตัดสินใจลงทุนในโครงการต่าง ๆ การจัดทำงบประมาณ และจัดสรรเงินลงทุน การทำแผนยุทธศาสตร์ระยะยาวของแต่ละกลุ่มธุรกิจ โดยนายสุทธิธรรม จิราธิวัฒน์ เป็นประธานกรรมการบริหาร และผู้บริหารระดับสูงของบริษัทต่าง ๆ ในกลุ่มเซ็นทรัลอีก 7 ท่านที่เป็นกรรมการประกอบด้วย นายสุทธิลักษณ์ จิราธิวัฒน์ นายกอบชัย จิราธิวัฒน์ นายปริญญ์ จิราธิวัฒน์ (และ CFO) นายทศ จิราธิวัฒน์ นายพิชัย จิราธิวัฒน์ Mr. Gerd Steeb และนายธีระเดช จิราธิวัฒน์

วันที่ 08 ตุลาคม พ.ศ. 2552 ปีที่ 33 ฉบับที่ 4147 ประชาชาติธุรกิจ
http://www.prachachat.net/view_news.php?newsid=02mar15081052&sectionid=0207&day=2009-10-08

September 25, 2009

Dutch Mill enters into Strategic Partnership with Groupe Danone

Dutch Mill Group enters into a strategic partnership with Groupe Danone to offer innovative dairy products with high-added value to the Thai consumer.
Dutch Mill, as a leader of the Thai Dairy Industry and one of the fastest growing and largest manufacturers of high-quality dairy products in South East Asia, will combine its world-class manufacturing, marketing and distribution network with Groupe Danone to remain in the forefront of innovation.
Dutch Mill enters into Strategic Partnership with Groupe Danone
Commenting on this strategic partnership, Yol Phokasub, Chief Operating Officer of Dutch Mill Group, stated: “We are very delighted to team up with Groupe DANONE. With an average per capita consumption of 4 kilos per year and a high interest shown by urban consumers in the health benefits of dairy products we will have a tremendous opportunity to provide innovative dairy products to the Thai consumers. Thanks to DANONE’s technical and R&D capabilities, we expect to shorten the time-to-market for value added products and thus contribute positively to improve the Thai dairy industry”.
Commenting on this move, Bernard Hours, Danone VP for Global Fresh dairy products, stated: "Groupe DANONE wants to quickly develop Danone brand in countries where it is not present yet, and in this context, Thailand is a high potential market. This partnership, of which we are very honour and proud of, will allow Groupe DANONE to benefit from the market knowledge of Dutch Mill and its distribution channels in the region”.
About Dutch Mill
Dutch Mill Co., Ltd. is a member of the exclusively Thai-owned Dutch Mill Group of companies. The group’s impressive history can be traced back several decades when premium yogurt and drinking yogurt products were introduced under the Dutch Mill brand. Today, the group’s range of products includes Dutchie Yogurt, Dutch Mill Drinking Yogurt & Milk, Dna Soy Milk, Valencia Fruit Juice, etc… With sales in excess of 300 million USD, Dutch Mill Group, one of the leading manufacturers of dairy products in Thailand, also exports to ASEAN countries.
About Groupe DANONE
With around EUR 13 billion of total sales in 2005, Groupe DANONE is the world leader in fresh dairy products and bottled water (in volume terms), and nฐ2 in the biscuit market worldwide.
In fresh dairy products, Groupe DANONE posted sales of EUR 7.2 billion with strong positions in Western Europe (nฐ1 in France, Spain, Italy, Portugal, United Kingdom, Belgium),
in Eastern Europe (nฐ1 in Poland Czech, Hungary, Romania and Bulgaria),
in North America (nฐ1 in United States),
in Latin America (nฐ1 in Argentina and Brazil),
in North Africa and Middle-East (nฐ1 en Algeria, Morocco, Tunisia, Israel, Saudi Arabia and Turkey).

วันที่ 25 มกราคม 2550 16:33 น
http://www.thaipr.net/nc/readnews.aspx?newsid=09EAD1242BAACE83B4F12DB33BEB39DD

The Nation
Groupe Danone, Dutch Mill join hands

Two leading makers of dairy products, Thai-owned Dutch Mill Group and France-based Groupe Danone, entered into a strategic partnership yesterday to offer innovative, high value-added dairy products to consumers here.

The agreement will allow Dutch Mill to combine its world-class manufacturing, marketing and distribution network with Danone Dairy Thailand. It will also enhance the two companies' competitiveness so they can stand at the forefront of innovation.

Dutch Mill said the average per capita consumption of four kilos per year and the high interest shown by urban consumers in the health benefits of dairy products in the domestic market offered promising scope for growth.

Dutch Mill is well-known as one of the fastest growing and largest manufacturers of high-quality dairy products, serving the demands of both local and international consumers.

Danone Dairy Thailand will combine its technical and marketing skills with Dutch Mill's world-class manufacturing and distribution network to enter the Thai market.

"Groupe Danone wants to quickly develop the Danone brand in countries where it is not present yet, and in this context, Thailand is a high-potential market," said Bernard Hours, vice president for fresh dairy products.

"This partnership, which we are very proud of, will allow Groupe Danone to benefit from the market knowledge of Dutch Mill and its distribution channels in the region," he said.

http://www.nationmultimedia.com/2007/01/25/business/business_30025007.php



ความเป็นมาของดัชมิลล์
บริษัท ดัชมิลล์ จำกัด เดิมจดทะเบียนก่อตั้งเมื่อวันที่ 27 มกราคม 2527 เพื่อประกอบกิจการโรงงานผลิตโยเกิร์ต และโยเกิร์ตพร้อมดื่ม ภายใต้ชื่อ "ผลิตภัณฑ์ ดัชมิลล์ (Dutch Mill)"

โดยเริ่มจากเป็นอุตสาหกรรมขนาดเล็กที่ หมู่บ้านสหกรณ์คลองกุ่ม กรุงเทพฯ สินค้า
ตัวแรกที่ทางบริษัททำการผลิต คือ โยเกิร์ต มี 4 รส คือ รสส้ม รสสตรอเบอรี่
รสสับปะรด และรสธรรมชาติ ทั้งได้ทำการทดลองวางตลาดโดยวางจำหน่ายใน
ซุปเปอร์มาร์เก็ตบนถนนสุขุมวิท และเพชรบุรีตัดใหม่ ภายในเวลาเพียง 3 เดือน
ก็ได้รับความนิยม เป็นอย่างมาก โดยเฉพาะในหมู่ชาวต่างชาติ โดยมี
บริษัท
โปรมาร์ท อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด
ซึ่งจดทะเบียนก่อตั้งเมื่อ เดือนกุมภาพันธ์ 2527 เป็นผู้ดำเนินการด้านการตลาดในการจำหน่ายผลิตภัณฑ์

จนกระทั่งในปี 2534 เกิด วิกฤตการณ์น้ำนมดิบล้นตลาดส่งผลให้ราคาน้ำนมดิบ
ตกต่ำ รวมทั้งเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมไม่สามารถหาตลาด รองรับน้ำนมดิบได้ ซึ่งเป็นปัญหาที่รัฐบาลในขณะนั้นต้องเร่งแก้ไข
กลุ่มผู้ถือหุ้นของบริษัท ได้ตระหนักถึงปัญหาดังกล่าว และเห็นพ้องต้องกันว่า ต้องการเข้าไปมีส่วนช่วยบรรเทาปัญหาที่เกิดขึ้น
เนื่องจากมองเห็นว่าภาคเกษตรเป็นภาคที่เป็นพื้นฐานทางเศรษฐกิจที่สำคัญของประเทศ และผลิตภัณฑ์นมเป็นผลิตภัณฑ์ พื้นฐานที่มี
ประโยชน์ทางโภชนาการต่อผู้บริโภค มิได้เป็นสินค้าที่เกินความจำเป็น หรือฟุ่มเฟือยแต่อย่างใด

ภารกิจ


"ดัชมิลล์ คุณค่าสู่สากล"
เพราะดัชมิลล์ตระหนักถึงคุณค่าของ "โอกาส" ที่ลูกค้าผู้มีพระคุณมอบให้
เราตลอดระยะเวลากว่า 20 ปีที่ผ่านมา

เรา....กลุ่มบริษัทดัชมิลล์ จึงมุ่งมั่นอย่างเต็มศักยภาพ ในการใส่ใจกับคำว่า
"คุณภาพ" ในทุกเรื่องที่จะส่ง ผลกระทบถึงลูกค้าผู้มีพระคุณกับเรา โดยเรายังคง
ยืนยันที่จะยึดถือ แนวทางแห่งการทำงานของเรา 3 ประการคือ

1.
อุทิศเพื่อมุ่งสู่ความเป็นเลิศ (Dedicate to Excellence)
2.
สร้างความพึงพอใจสูงสุดแก่ลูกค้า (Maximization of Customer Satisfaction)
3.
สร้างสรรค์และปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง (Continuous Improvement)

สมาชิกทุกคนของเรา ได้ให้คำมั่นสัญญาว่า เราจะใช้เวลาของทุกวัน เพื่อมุ่งมั่น
ยกระดับ คุณภาพ สู่ความเป็นเลิศ โดยมีเป้าหมายหลักใน การทำงานร่วมกันคือ

  • สร้างสรรค์ความเป็นเลิศในสินค้าและการบริการ อันนำมาซึ่งความประทับใจของลูกค้า
    (Delight customers through excellent products & services)
  • ยกระดับความสามารถพนักงานโดยมุ่งเรียนรู้และพัฒนาตนเอง
    อย่างไม่สิ้นสุด

    ข้อมูลจาก www.dutchmill.co.th






    September 19, 2009

    รายงาน การจัดทำกลยุทธด้าน HR ของสถาบันการศึกษา

    รายงานชิ้นนี้ต้องเริ่มด้วย
    1. วิสัยทัศน์ และพันธกิจ มหา' ลัย หรือ จะมีปรัชญาด้วยก็ได้
    2. กำหนด วิสัยทัศน์และพันธกิจ/ภารกิจด้าน HR ที่สอดคล้องกับข้อ 1.
    3. หยิบ มา 1 ภารกิจที่จะมาทำแผนกลยุทธ
    ซึ่งประกอบด้วย วัตถุประสงค์เชิงกลยุทธ ฯลฯ
    ดูตัวอย่าง
    http://thekmthailand.blogspot.com/2008_04_26_archive.html

    เนื่องจากตัวอย่างเป็นระดับธุรกิจ เวลาทำจริงต้องปรับให้เป็นฝ่าย HR

    4.ส่วนใหญ่ที่ทำมา ต้องปรับ ให้เป็น ดังต่อไปนี้

    ตัวอย่าง
    -ภารกิจด้าน HR
    1.สรรหาบุคลากรให้เหมาะสมกับตำแหน่งในหน่วยงานและพัฒนา บุคลากร ให้มีความรู้ความสามารถ ทักษะ ทัศนคติที่ดี มีคุณธรรม จริยธรรม
    S-Objectives
    F: งบประมาณในการสรรหาบุคลากร
    งบประมาณในการพัฒนาบุคลากร
    C : ดึงดูด อจ. ที่ได้ทุนวิจัย จากต่างประเทสเข้ามาร่วมงานในมหา'ลัย
    I : ระบบการสรรหาแบบ "Open Research" (คือ ใช้ทุนล่อให้ นักวิจัยมารับทุนและร่วมงานในภายหลัง)
    L: สนับสนุนให้บุคลากร ไปร่วมงาน Conference ระดับ นานา ชาติ

    ที่ถูกต้องเป็นอย่างนี้

    -HR Dept KPIs
    ส่วนใหญ่ทำได้


    5. ที่เหลือแนวทางที่ทำสำหรับกลุ่ม นศ.-ทิวา หลักการ OK ถ้าได้ปรับตามข้อ 1-4 ถือ ว่าสมบูรณ์

    6.ฝาก ส่ง-บอกต่อให้เพื่อน ๆ ด้วย

    ดร.ดนัย เทียนพุฒ
    18 ก.ย.52

    September 15, 2009

    ดร.ดนัย เทียนพุฒ ได้รับเข็มกิตติคุณสถาบันพระปกเกล้า

    เมื่อวันที่ 5 ก.ย.52 เป็นวันครบรอบสถาปนาสถาบันพระปกเกล้า และได้มีพิธีมอบเข็มกิตติคุณสถาบันพระปกเกล้าให้แก่บุคคลผู้ทำคุณประโยชน์ให้แก่สถาบันฯ

    ดร.ดนัย เทียนพุฒ ได้รับรางวัลนี้ด้วย ถืออีกรางวัลหนึ่่งในปีนี้ภายหลังจากที่ ได้รับรางวัลนักทรัพยากรมนุษย์ดีเด่นแห่งประเทศไทย ปี 2552 ประเภทนักวิชาการและที่ปรึกษา โดยสถาบันทรัพยากรมนุษย์ ม.ธรรมศาสตร์








    ดร.ดนัย เทียนพุฒ
    กรรมการผู้จัดการ

    September 13, 2009

    กรณีศึกษา -3 สำหรับMBA & MM -WU วิชา OD and Change

    กรณีศึกษานี้ สำหรับ นศ. MBA & MM ที่เรียนรายวิชา MGT 623 การเปลี่ยนแปลงและพัฒนาองค์การ กับ ดร.ดนัย เทียนพุฒ ในสัปดาห์ที่ 3 วันที่ 26 ก.ย.52

    พิมพ์ไปอ่านก่อน....มาเรียนจะวิเศษสุด
    Case Study 3 -OD & Change

    ดร.ดนัย เทียนพุฒ
    กรรมการผู้จัดการ

    แผนการสอนรายวิชาการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาองค์การ MGT -623 สำหรับ MBA-MM ม.วลัยลักษณ์

    ในเทอมการศึกษาภาคเรียนที่ 2 ปีการศึกษา 2552 ดร.ดนัย เทียนพุฒ บรรยายวิชาการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาองค์การ ให้กับหลักสูตร MBA และ MM ของมหาวิทยาลัยวลัยลักษณ์ นศ. สามารถเข้ามาดูแผนการสอนและติดตามการเรียนการสอนได้ตั้งแต่บัดนี้ (ก.ย.52-ต.ค.52)

    Course Syllabus Mgt 623

    ดร.ดนัย เทียนพุฒ
    กรรมการผู้จัดการ

    September 10, 2009

    HR Evolution By Dr.Danai Thieanphut

    เมื่อวัน อาทิตย์ที่แล้ว ผมบรรยายเปิด วิชา การบริหารทรัพยากรมนุษย์ในทางการศึกษา สำหรับ นศ. ปริญญาโท การศึกษามหาบัณทิต ม.เซนต์จอห์น ที่ วิทยาเขต อ.ปากช่อง

    โดยสรุปรวมได้เล่าถึง วิวัฒนาการของการบริหาร HR ตั้งแต่ในอดีตจนถึงปัจจุบันซึ่งผมได้แบ่งเป็น 3 ยุคด้วยกันคือ
    ยุคแรก เป็น HR แบบสนับสนุนธุรกิจ (Supporting Unit)
    ยุคที่สอง เป็น HR แบบพันธมิตรธุรกิจ (Business Partners)
    ยุคที่สาม ก้าวสู่การเป็นผู้คุมเกมกลยุทธ (Strategic Player)

    ....Rick Brown -Shell's VP for HR Functional Excellence said that...
    Multinationals now recognise that HR professionals have to be "Strategic players" to be effective within the business...

    from: "Developing the art of global HR Management" www.expatica.com (07/07/2005)

    สไลด์รูปข้างล่างผมแนบมาด้วยตามที่ นศ. ได้ ขอไว้





    ดร.ดนัย เทียนพุฒ
    กรรมการผู้จัดการ

    Job Search With Social Media & Mobile

    Check out this SlideShare Presentation:

    September 7, 2009

    HRD ใครตอบว่า่มี 4 เรื่องต่อไปนี้ "ตัดคะแนนได้ครึ่งเดียว"

    ผมออกข้อสอบสำหรับนศ MBA ที่เรียนวิชา HRM กับผม
    ถ้าใครตอบว่า HRD มีองค์ประกอบสำคัญอยู่ 4 เรื่องคือ
    -ID การพัฒนารายบุคคล
    -CD การพัฒนาอาชีพ
    -OD การพัฒนาองค์กร
    -PM การจัดการผลงาน
    ผมให้คะแนนเพียงครึ่งเดียว
    ถ้าอยากได้คะแนนเต็มให้ไปอย่างบทความใหม่ด้าน HRD

    September 3, 2009

    สำนักงาน ก.พ.คลอดเกณฑ์ประเมินผลงานฯใหม่ 1ต.ค.นี้

    นศ. M.Ed. -SJU ที่เรียนวิชา HRM in Ed. เรื่องนี้ต้องทำความเข้าใจถ้าอยู่ในองค์กรภาครัฐ

    ดร.ดนัย เทียนพุฒ
    4 ก.ย.52

    **********************

    เลขาฯ ก.พ.ลงนามเกณฑ์ประเมินผลงาน ขรก.ใหม่แล้ว เริ่มใช้ 1 ต.ค.นี้ เผยรายละเอียดยิบ มี 2 รูปแบบ 3 ตัวชี้วัด 5 ระดับ ให้เพื่อนร่วมงานช่วยประเมินด้วย ขรก.เจ๋งมีสิทธิขึ้นปีละ 12% แต่ถ้างานห่วย-ได้คะแนนไม่ถึง 60% ชวดอัพเงินเดือนทันที

    นายปรีชา วัชราภัย เลขาธิการคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ได้ลงนามในหลักเกณฑ์และวิธีประเมินผลการปฏิบัติราชการแล้ว เมื่อวันที่ 3 กันยายน หลังจากนี้สำนักงาน ก.พ.จะส่งหนังสือเวียนแจ้งทุกส่วนราชการต่อไป เพื่อให้นำหลักเกณฑ์ดังกล่าวมาประกอบการพิจารณาเลื่อนเงินเดือนให้แก่ข้าราชการในสังกัดตั้งแต่ปีงบประมาณ 2553 เป็นต้นไป

    นายปรีชาให้สัมภาษณ์ถึงหลักเกณฑ์ในรายละเอียดว่า ในการปรับเลื่อนเงินเดือนของข้าราชการแต่ละปี ข้าราชการมีสิทธิได้รับการปรับเงินเดือนสูงสุดถึงร้อยละ 12 จากเดิมร้อยละ 8 โดยแบ่งการประเมินผลการปฏิบัติราชการออกเป็น 2 รอบ คือ รอบแรกระหว่างวันที่ 1 ตุลาคม-31 มีนาคม มีสิทธิได้รับการเลื่อนเงินเดือนสูงสุดที่ร้อยละ 6 รอบที่ 2 ระหว่างวันที่ 1 เมษายน-30 กันยายน มีสิทธิได้รับการเลื่อนเงินเดือนสูงสุดอีกร้อยละ 6 นั่นหมายความว่าข้าราชการทุกคนจะต้องเข้ารับการประเมินตามหลักเกณฑ์ใหม่ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคมนี้ และได้รับการเลื่อนเงินเดือนในอัตราใหม่วันที่ 1 เมษายน 2553

    นายปรีชากล่าวต่อไปว่า อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ว่าข้าราชการทุกคนจะได้รับการเลื่อนเงินเดือนเท่ากัน เพราะหลักเกณฑ์การประเมินผลของ ก.พ. จะแบ่งการวัดประสิทธิภาพการปฏิบัติราชการออกเป็น 5 ระดับ ได้แก่ 1.ระดับดีเด่น 2.ระดับดีมาก 3.ระดับดี 4.ระดับพอใช้ และ 5.ระดับต้องปรับปรุง หากผลประเมินข้าราชการคนใดอยู่ในระดับ "ต้องปรับปรุง" ก็จะหมดสิทธิได้รับการขึ้นเงินเดือนในครึ่งปีนั้นๆ แต่ทั้งนี้ หลักเกณฑ์และวิธีประเมินผลการปฏิบัติราชการที่สำนักงาน ก.พ.ออกมาเป็นเพียงการประเมินตัวข้าราชการเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับการประเมินผลการปฏิบัติราชการของหน่วยงานเพื่อขอรับการจัดสรรเงินรางวัลประจำปี (โบนัส) แต่อย่างใด

    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับหลักเกณฑ์การประเมินผลการปฏิบัติราชการของสำนักงาน ก.พ. จะพิจารณาจาก 2 องค์ประกอบหลักคือ องค์ประกอบด้านผลสัมฤทธิ์ของงาน และองค์ประกอบด้านพฤติกรรมการปฏิบัติราชการ หรือสมรรถนะ ทั้งนี้ ก.พ.ได้กำหนดตัวชี้วัดในการประเมินผลการปฏิบัติราชการไว้ 3 ส่วน คือ 1.งานที่ปรากฏในคำรับรองการปฏิบัติราชการ หรือเรียกว่า "งานยุทธศาสตร์" 2.งานตามหน้าที่รับผิดชอบของกระทรวง กรม จังหวัด สำนัก หรือที่เรียกว่า "งานตามภารกิจ" และ 3.งานที่ได้รับมอบหมายให้ทำเป็นพิเศษ เช่น โครงการต่างๆ สำหรับรูปแบบการประเมินผลการปฏิบัติราชการจะไม่ตายตัว ซึ่ง ก.พ.ได้เสนอรูปแบบให้ส่วนราชการนำไปปรับใช้ 2 รูปแบบ คือ 1.การประเมินสมรรถนะด้วยวิธี 360 องศา คือให้ผู้บังคับบัญชา เพื่อนร่วมงาน 3 คน ผู้ใต้บังคับบัญชา และตัวข้าราชการเองเป็นผู้ประเมินตนเอง 2.การประเมินโดยให้ผู้บังคับบัญชาเป็นผู้ประเมิน โดยสังเกตจากพฤติกรรมการแสดงออกที่เห็นได้ชัดแล้วนำไปเทียบกับมาตรวัดสมรรถนะกลาง ซึ่งขึ้นอยู่กับส่วนราชการต่างๆ ว่าจะเลือกใช้รูปแบบใด

    ส่วนการประเมินผลจะจัดข้าราชการออกเป็น 2 กลุ่ม คือ 1.กลุ่มข้าราชการทั่วไป คะแนนผลการปฏิบัติราชการจะถูกจัดออกเป็น 5 ระดับ ได้แก่ ระดับดีเด่น ระดับดีมาก ระดับดี ระดับพอใช้ และระดับต้องปรับปรุง ซึ่งการกำหนดแต่ละช่วงคะแนนให้เป็นดุลพินิจของส่วนราชการ แต่ถ้าข้าราชการคนใดมีคะแนนประเมินต่ำกว่าร้อยละ 60 (ระดับพอใช้) จะหมดสิทธิได้รับการเลื่อนขั้นเงินเดือนในรอบปีงบประมาณนั้นๆ และ 2.กลุ่มข้าราชการทดลองงาน จะวัดประสิทธิภาพการปฏิบัติราชการเพื่อประเมินว่าผ่านการทดลองงานหรือไม่เท่านั้น โดยผู้ที่จะผ่านการทดลองงานได้ต้องมีคะแนนประเมินมากกว่าร้อยละ 50

    ข่าวจาก นสพ.ประชาชาติธุรกิจ
    วันที่ 04 กันยายน พ.ศ. 2552 เวลา 07:44:52 น. ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
    http://www.prachachat.net/news_detail.php?newsid=1252025243&grpid=03&catid=00

    August 31, 2009

    การวิเคราะห์ด้านHR ของ บริษัท อินเด็กซ์ ลิฟวิ่งมอลล์

    รายงานการศึกษา การวิเคราะห์การบริหาร HR ประกอบการเรียนวิชา HRM(Human Resource Management) หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต มสด. ศูนย์การศึกษาหัวหิน
    เป็นรายงานที่ นศ. จัดทำขึ้นประกอบการเรียนเพื่อเสริมประสบการณ์ให้กว้างและลึกมากขึ้น
    ดร.ดนัย เทียนพุฒ
    ***************
    นศ. MBA-HRM
    1.นส.วาสนา อิตัน
    2.กิตติภพ รักษาราษฎร์
    3.นส.ลัดดา อินทราพงษ์
    4.นส.ปนัดดา แสนหมุด

    August 30, 2009

    การวิเคราะห์ด้านHR ของธุรกิจโรงแรมลองบีช ชะอำ

    รายงานการศึกษา การวิเคราะห์การบริหาร HR ประกอบการเรียนวิชา HRM(Human Resource Management) หลักสูตรบริหารธุรกิจมหาบัณฑิต มสด. ศูนย์การศึกษาหัวหิน
    เป็นรายงานที่ นศ. จัดทำขึ้นประกอบการเรียนเพื่อเสริมประสบการณ์ให้กว้างและลึกมากขึ้น
    ดร.ดนัย เทียนพุฒ
    ****************
    การวิเคราะห์ด้าน HR ของโรงแรมลองบีช ชะอำ จ.เพชรบุรี โดย นศ. MBA
    1.นางองค์นาถ พุทธิกรณ์
    2.นางปุณณดา พานิชเจริญ
    3.นส.พิมสิริ ธนาลฎาภา
    4.นส.จันทร์เพ็ญ พระสงฆ์

    August 27, 2009

    ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ภาค 3


    ภาพยนตร์ ที่คนไทยควรดูเป็นอย่างยิ่ง" ว่าพระมหากษัตริย์ของเราที่ได้ทรงกู้บ้านกู้เมือง เสียสละทุกอย่างให้คนไทยได้มีแผ่นดินอยู่อาศัย มีความเป็นชาติไทย"

    แล้วเราคนไทยมีสำนึก...และคิดจะตอบแทนคุณแผ่นดินนี้อย่างไร ?...


    • ชื่อเจ้าของ: BaBeBurin
    • ข้อความแนะนำ: ตำนานสมเด็จพระนเรศวร มหาราช ภาค3
    • แหล่งที่มาของคลิป: youtube

    August 22, 2009

    HRD Case Study By Dr.Danai Thieanphut

    ผู้เขียนสอนวิชา HRM สำหรับหลักสูตร MBA- M.Ed. กำลังจะหาโจทย์ให้ นศ. ได้วิเคราะห์ถึงเรื่อง HRD ที่ถูกต้องไม่ Misconcept ไปตามที่พบกันอยู่ในปัจจุบัน เผอิญโชคดีได้ Google it จาก บทความเรื่องนี้พอดีจึงนำมาเป็นโจทย์เพื่อการศึกษาครับ และขอขอบคุณท่านผู้เขียนไว้ด้วย ณ ที่นี้

    โจทย์ ให้นศ. อ่านบทความเรื่อง การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ก่อนที่จะเข้ากลุ่มกิจกรรมตามที่กำหนด
    5 กลุ่ม
    กิจกรรมกลุ่ม ใช้เวลา 30-45 นาที
    1. นศ. มีความคิดเห็นเกี่ยวกับบทความนี้อย่างไรบ้าง เห็นด้วย ถูกต้อง ควรทำตาม หรือ ฯลฯ
    2. ถ้าหากพิจารณาตาม ทฤษฎีด้านการพัฒนาทุนมนุษย์ นศ. สรุปได้ไหมว่า
    -การพัฒนาทุนมนุษย์ในความหมายที่ควรจะเป็นคืออะไร
    -แนวทางที่เหมาะสมควรเป็นอย่างไรจึงจะพัฒนาได้จริง
    -KM จะเข้ามามีบทบาทได้อย่างไร
    -จะวัดความสำเร็จของการพัฒนาทุนมนุษย์ได้อย่างไร

    ****************************

    การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์
    นายจารุพงศ์ พลเดช
    ผู้ว่าราชการจังหวัดลพบุรี

    ความสำคัญของการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์นั้น ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าและยั่งยืนที่สุด เมื่อเปรียบเทียบกับการลงทุนประเภทอื่นๆ ทั้งนี้เพราะความสำเร็จขององค์กรขึ้นอยู่กับศักยภาพของบุคลากร องค์กรใดหากมีทรัพยากรบุคคลที่มีความสามารถสูง มีคุณธรรม มีจริยธรรม ย่อมสามารถสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน นำพาองค์กรไปสู่ความสำเร็จได้ตามเป้าหมายที่ต้องการอย่างยั่งยืน องค์กรทุกองค์กร จึงปรารถนาและให้ความสำคัญกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ให้เห็นทั้งคนดีและคนเก่งอยู่ตลอดเวลา
    ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ประเทศของเราต้องเผชิญกับความเปลี่ยนแปลงในทุกๆ ด้านๆ ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง และเทคโนโลยี ซึ่งล้วนมีผลกระทบต่อวิถีชีวิตและความเป็นอยู่ของมนุษย์ที่อยู่ในสังคมไทยเป็นอย่างมาก ประกอบกับแนวทางการพัฒนาในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ตั้งแต่ฉบับที่ 1-7 ก็ได้ให้ความสำคัญต่อการพัฒนาเศรษฐกิจเป็นหลัก โดยใช้ทรัพยากรที่มีอยู่ให้เกิดประโยชน์สูงสุด ทำให้เศรษฐกิจของประเทศเจริญเติบโตอย่างรวดเร็ว แต่ก็ก่อให้เกิดปัญหาทางสังคมหลายประการเลยทีเดียว นับตั้งแต่แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 8 เป็นต้นมา ก็เน้นคนเป็นศูนย์กลางของการพัฒนาแบบองค์รวม โดยมุ่งพัฒนาศักยภาพของคนและสภาพแวดล้อมทางสังคม เพื่อให้เกิดการพัฒนาแบบมีประสิทธิภาพ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์สามารถจำแนกได้เป็น 3 ระดับ ดังนี้
    การพัฒนาระดับชาติ มุ่งพัฒนาคนในภาพรวมเพื่อให้สามารถดำรงตนอยู่ในสังคมได้ เป็นพลเมืองดี มีคุณภาพ มีผลิตภาพสูง และมีความรับผิดชอบต่อสังคม การพัฒนาจึงคำนึงถึงการพัฒนาด้านการศึกษา ด้านสุขภาพ ด้านแรงงาน เป็นสำคัญ
    การพัฒนาระดับองค์กร มุ่งพัฒนาคนให้เกิดความเชี่ยวชาญสามารถทำงานให้องค์กรได้อย่าง มีผลิตภาพสูงและพร้อมกับการขยายตัวและการเปลี่ยนแปลงในอนาคต และเน้นการพัฒนาทางด้านบูรณาการระหว่างการพัฒนาบุคคล การพัฒนาอาชีพและการพัฒนาองค์กร เพื่อมุ่งเน้นการพัฒนาจากการเรียนรู้ ของบุคคลไปสู่ทีมการเรียนรู้ และองค์กรแห่งการเรียนรู้ไปพร้อมกัน
    การพัฒนาระดับบุคคล มุ่งพัฒนาคนให้ตระหนักถึงความจำเป็นในการพัฒนาตนเองเพื่อเพิ่มความรู้ความสามารถ และประสิทธิภาพในการทำงานให้สามารถดำรงตนอยู่ในสังคมได้ เป็นสมาชิกระดับครอบครัว องค์กร สังคมและประเทศชาติ


    ทรัพยากรมนุษย์มีความสำคัญมากที่สุด
    ปัจจุบันโลกได้ก้าวสู่ยุคเศรษฐกิจใหม่ที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมมาก สำหรับเศรษฐกิจยุคเก่านั้น
    เน้นการผลิต จะให้ความสำคัญอย่างมากต่อกระบวนการแปรรูปผลผลิตในเชิงกายภาพ การพัฒนาประเทศ จะมุ่งไปสู่เศรษฐกิจบนพื้นฐานของการผลิต โดยมีปัจจัยการผลิตที่สำคัญ คือ แรงงานและทุน ขณะเดียวกันแทบจะไม่ได้ใช้ประโยชน์จากพลังสมองของพนักงานจำนวนมากมายในการคิดค้นนวัตกรรมใหม่ๆ
    สำหรับเศรษฐกิจใหม่นั้น ทรัพยากรที่สำคัญที่สุด คือ พลังสมอง ส่งผลทำให้ทรัพยากรมนุษย์กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่สุดของประเทศ ส่งผลให้กลยุทธ์การพัฒนาเศรษฐกิจต้องเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย แต่ปัจจุบันกลยุทธ์การพัฒนาประเทศได้มุ่งไปสู่ “เศรษฐกิจบนพื้นฐานแห่งความรู้” สำคัญที่กำหนดการเติบโตทางเศรษฐกิจ คือ นวัตกรรมและความรู้
    ประเทศต่างๆ จึงได้มุ่งเน้นพัฒนาทรัพยากรมนุษย์เพื่อรองรับเศรษฐกิจยุคใหม่ เป็นต้นว่า ประเทศไทย เดิมมีแนวคิดพื้นฐานว่าคนเป็นเพียงปัจจัยการผลิตอย่างหนึ่งเท่านั้น นับตั้งแต่แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 8(ปี 2540– 2544)เป็นต้นมาได้มีการปรับเปลี่ยนแนวคิดครั้งใหญ่ โดยเปลี่ยนมาเป็นทิศทางการพัฒนาประเทศโดยมีคนเป็นศูนย์กลาง
    สำหรับแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 10 ซึ่งใช้ในช่วงปัจจุบัน คือ ระหว่างปี
    2550 - 2554 ได้สานต่อแนวคิดให้คนเป็นศูนย์กลางของการพัฒนาเช่นเดียวกัน โดยยุทธศาสตร์การพัฒนาให้ความสำคัญลำดับสูงกับการพัฒนาคุณภาพคนในทุกมิติอย่างสมดุล ทั้งทางจิตใจ ร่างกาย ความรู้ และทักษะความสามารถ โดยในส่วนของการพัฒนาเด็กและเยาวชนนั้น มุ่งเน้นเตรียมเด็กและเยาวชนทั้งด้านจิตใจ ทักษะชีวิตและความรู้พื้นฐานในการดำรงชีวิต การพัฒนาสมรรถนะและทักษะแรงงาน และเร่งผลิตกำลังคนเพื่อตอบสนองการพัฒนาประเทศ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ไม่ใช่เรื่องง่ายอย่างที่คิด ต้องใช้เวลายาวนาน

    พัฒนาคุณภาพระบบการศึกษา
    จากความสำคัญของทรัพยากรมนุษย์ดังกล่าวข้างต้น ปัจจุบันประเทศต่างๆ ได้มีมาตรการ หลายประการเพื่อส่งเสริมการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์
    ประการแรก พัฒนาระบบการศึกษาของประชาชนให้เป็นเลิศ เนื่องจากการศึกษาเป็นกระบวนการ
    ที่มุ่งพัฒนาคนให้เป็นมนุษย์ที่มีคุณภาพ มีความสามารถเต็มตามศักยภาพ มีการพัฒนาที่สมดุลทั้งทางด้านปัญญา จิตใจ ร่างกาย และสังคม เพื่อเสริมสร้างการพัฒนาและการเติบโตทางเศรษฐกิจและสังคมของประเทศโดยหลักสูตรการเรียนการสอน ควรเน้นกระบวนการพัฒนาเด็กอย่างเป็นบูรณาการในด้านต่าง ๆ เป็นต้นว่า
    - ทักษะเพื่อความอยู่รอด หรือที่เรียกว่า Learning to Live
    - การพัฒนาปัจเจกบุคคลและการปฏิสัมพันธ์ทางสังคม หรือที่เรียกว่า Learning to Be
    - การเรียนรู้ทางวิชาการ หรือที่เรียกว่า Learning to Learn
    ปัจจุบันมีการพูดกันมากถึงกระบวนการเรียนการสอนที่เน้นเด็กเป็นศูนย์กลาง ตามทฤษฎีซึ่งมีความเชื่อว่าในกระบวนการพัฒนาการเรียนรู้ของเด็กนั้น พวกเขาสามารถสร้างความรู้ขึ้นได้เอง เปรียบเสมือนกับนักทดลองรุ่นเยาว์ที่สร้างและทดสอบทฤษฎีเกี่ยวกับสิ่งต่างๆ อยู่ตลอดเวลา เมื่อเด็กได้มีโอกาสได้สร้างความรู้นั้นด้วยตัวเอง ก็จะเข้าใจสิ่งต่างๆ อย่างลึกซึ้ง สามารถจัดระบบโครงสร้างความรู้และมีความสามารถในการเรียนรู้ได้เป็นอย่างดี โดยเน้นสิ่งที่เด็กได้เรียนรู้มากกว่าสิ่งที่ครูอาจารย์อบรมสั่งสอน ครูควรเป็นผู้ช่วยผู้เรียนให้สร้างระบบความรู้ แต่ไม่ใช่ผู้สร้างระบบนั้นให้ผู้เรียน สำหรับการพัฒนากระบวนการเรียนการสอนที่เน้นเด็กเป็นศูนย์กลางนั้น ปัจจุบันได้ริเริ่มนำมาใช้ในประเทศไทยแล้วโดยคุณพารณ อิศรเสนา เป็นผู้บุกเบิกการเรียนรู้เช่นนี้ในประเทศไทย กล่าวคือ โรงเรียนดรุณสิขาลัยในมหาวิทยาลัย ซึ่งตั้งภายในสถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ซึ่งเป็นโครงการความร่วมมือกับมูลนิธิไทยคม มูลนิธิศึกษาพัฒน์ บริษัทเอกชน ฯลฯ
    รูปแบบการเรียนการสอนข้างต้นจะเป็นแบบไม่มีตารางสอน เป็นการเรียนรู้ที่ไม่แยกส่วนรายวิชาโดยจะเป็นการเรียนแบบเป็นทั้งสถานีวิจัยและเป็นทั้งห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์ กลยุทธ์ปรับกระบวนทัศน์ของผู้เรียนยึดหลักผู้เรียนเป็นสำคัญ คือ ทุกคนเป็นทั้งครูและนักเรียนในขณะเดียวกัน ไม่มีการแบ่งชั้นเรียนแต่จะแบ่ง กลุ่มเรียนตามอายุ

    ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีพ
    ประการที่สอง ส่งเสริมการเรียนรู้ตลอดชีพ ซึ่งนับว่าสำคัญมาก เนื่องจากเทคโนโลยีในปัจจุบันเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วมาก ทำให้ความรู้ที่มีอยู่นั้นล้าสมัยอย่างรวดเร็ว ถึงกับมีการกล่าวกันว่าตำราที่เขียนขึ้นนั้นได้ล้าสมัยก่อนที่จะพิมพ์จำหน่ายเสียอีก จากแนวโน้มข้างต้น หากต้องการก้าวทันโลกแล้ว จะต้องศึกษาหาความรู้ไม่เฉพาะภายในห้องเรียนเท่านั้น แต่จะต้องเป็นการศึกษาตลอดชีพ โดยสร้างทัศนคติ ให้ประชาชนรักในการอ่านหนังสือและศึกษาหาความรู้ด้วยตนเอง
    ศจ.นพ.เกษม วัฒนชัย อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ ได้เคยบรรยายนำในการเสวนาทางวิชาการเรื่อง “การปฏิรูปการเรียนรู้ จะเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่” ณ ห้องประชุมศูนย์สารสนเทศ คณะครุศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เมื่อปี 2544 ว่าการสอนและการเรียนรู้เปรียบได้กับเหรียญ 2 ด้าน ที่แต่เดิมการศึกษาจะเน้นที่ตัวครูและกระบวนการเรียนการสอน แต่เวลานี้ควรปรับมาเน้นที่การเรียนรู้ที่มุ่งสู่ผลลัพธ์ เพราะหากการเรียนยังต้องพึ่งพาการสอน เด็กจะเกิดความรู้ได้ก็ต่อเมื่อมีผู้สอนเท่านั้น แต่การพัฒนาให้เด็กเรียนรู้ได้ด้วยตนเอง จะเป็นการเปิดกว้างที่จะเรียนรู้จากทุกทิศทุกทาง
    ขณะเดียวกันแม้การเรียนโดยตรงจากผู้สอนที่เราคุ้นเคยกันในปัจจุบันยังสำคัญ แต่การเล่าเรียน แบบขวนขวาย โดยผู้เรียนเองนอกชั้นเรียนนั้นได้ทวีความสำคัญยิ่งขึ้น ดังนั้น ต้องพยายามปรับปรุง การเรียนการสอนเน้นหนักสร้างทักษะเกี่ยวกับการศึกษาหาความรู้ด้วยตนเอง แทนที่ครูอาจารย์จะเป็นฝ่ายป้อนให้ โดยครูอาจารย์ต้องแนะนำให้นักเรียนและนักศึกษาเรียนรู้ด้วยตนเอง


    ส่งเสริมความสนใจด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
    ประการที่สาม ส่งเสริมให้เด็กและเยาวชนสนใจศึกษาในสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี และเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศเป็นอย่างมาก เป็นต้นว่า รัฐบาลจีนได้ตั้งเป้าหมายในด้านการพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีว่าจะเป็นประเทศที่นำหน้าเทคโนโลยีในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาด้วยกันภายใน ปี 2553 จากนั้นตั้งเป้าหมายตามเทคโนโลยีของประเทศพัฒนาแล้ว ภายในปี 2563 และท้ายที่สุดตั้งเป้าหมายเป็นอันดับ 1 ของโลกในด้านเทคโนโลยี ภายในปี 2592
    ปัจจุบันประเทศจีนมีนักศึกษาในสถาบันอาชีวศึกษาและมหาวิทยาลัยมากถึง 17 ล้านคน ส่วนใหญ่ศึกษาในด้านวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมศาสตร์ เป็นจุดแข็งสำคัญในด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของประเทศ โดยแต่ละปีจีนผลิตบัณฑิตในสาขาวิศวกรรมศาสตร์มากถึง 325,000 คน มากเป็น 5 เท่าของสหรัฐฯ และมากเป็น 3 – 4 เท่า ของญี่ปุ่น ยิ่งไปกว่านั้นจำนวนผู้สำเร็จการศึกษาวิศวกรรมศาสตร์ของจีนในแต่ละปียังคงเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ขณะที่กรณีสหรัฐฯ และญี่ปุ่นกลับมีจำนวนลดลงตามลำดับ

    พัฒนาความคิดสร้างสรรค์
    ประการที่สี่ พัฒนาความคิดสร้างสรรค์ ปัจจุบันการศึกษาของหลายประเทศ รวมของประเทศไทยด้วยเป็นระบบที่เน้นป้อนความรู้ในเรื่องข้อเท็จจริงต่างๆ มากกว่าจะเป็นระบบที่พยายามกระตุ้นให้นักศึกษามีความคิดสร้างสรรค์ เป็นตัวของตัวเอง ทำให้ทรัพยากรมนุษย์ขาดความคิดสร้างสรรค์ใหม่ๆ ซึ่งเป็นข้อจำกัดอย่างมากต่อความสามารถในการแข่งขันในอนาคต เพื่อแก้ไขปัญหาข้างต้นต้องพัฒนาโรงเรียนและมหาวิทยาลัยให้มีสภาพแวดล้อมเอื้ออำนวยให้เกิดการเรียนรู้โดยการค้นคว้า การถกเถียง โดยให้เหตุผล และหลักฐาน

    สร้างความแข็งแกร่งด้านวัฒนธรรม
    ประการที่ห้า พัฒนาทางด้านวัฒนธรรม โดยเฉพาะในยุคปัจจุบันที่กระแสโลกาภิวัฒน์ถาโถมเข้ามา ทำให้เด็กและเยาวชนในปัจจุบันหันเข้าหาวัตถุนิยมและบริโภคนิยมมากขึ้น ดังนั้น การเสริมสร้าง ความแข็งแกร่งด้านวัฒนธรรมจะเปรียบเสมือนเป็นภูมิคุ้มกันทางด้านวัฒนธรรม ทำให้เด็กและเยาวชนมีจุดยืน ในชีวิต มีหลักคิด หลักปฏิบัติที่ยึดเหนี่ยวจิตใจ
    สำหรับกรณีของประเทศไทย ปัจจุบันสถาบันทางสังคม อาทิ สถาบันครอบครัว สถาบันศาสนา สถาบันการศึกษาและชุมชน นับว่ามีบทบาทน้อยลงในการปลูกฝังคุณธรรม จริยธรรม และพัฒนาศักยภาพ เด็กและเยาวชนซึ่งนิยมใช้ชีวิตยามว่างตามห้างสรรพสินค้า ใช้โทรศัพท์มือถือและคุยผ่านอินเทอร์เน็ต
    ทิศทางในอนาคตจะต้องให้เด็กและเยาวชนเป็นคนดี มีคุณธรรม มีจิตสำนึก และความรับผิดชอบ ต่อตนเองและสังคม รวมทั้งรักและตระหนักถึงความสำคัญของเอกลักษณ์ไทย โดยจะต้องรู้จักประวัติศาสตร์และความเป็นมาของตนเอง ของครอบครัว ของสังคมไทย และของประเทศชาติ ตลอดจนความสามารถ ในการแยกแยะและเลือกรับวัฒนธรรมของต่างชาติ
    นอกจากนี้ จะต้องเสริมสร้างค่านิยม และทัศนคติที่ดีต่อการทำงาน มีศักดิ์ศรีและมีความภาคภูมิใจ ในการทำงานสุจริต มีทักษะที่เหมาะสม และมีการเตรียมความพร้อมในการประกอบสัมมาชีพ รวมถึงการใช้หลักธรรมของแต่ละศาสนา เพื่อพัฒนาจิตใจและเยาวชน โดยการเน้นการเข้าถึงแก่นแท้ของศาสนา มากกว่าการงมงายกับเรื่องไร้เหตุผล

    ส่งเสริม EQ เพื่อความฉลาดในอารมณ์
    ประการที่หก ส่งเสริมความฉลาดในอารมณ์ (Emotional Quotient – EQ) ซึ่งประกอบด้วยทักษะ 2 กลุ่ม คือ ทักษะในด้านการบริหารจัดการตนเอง (Self – Management Skills) และทักษะในด้านบริหารปฏิสัมพันธ์กับบุคคลอื่น (Relationship Skill) ซึ่งนับว่าเป็นทักษะในการบริหารจัดการตัวเราเอง และทักษะ ในการทำงานร่วมกับบุคคลอื่นๆ นับว่าสำคัญมากต่อความสำเร็จในหน้าที่การงาน รวมถึงต่อความสุขและความสำเร็จในชีวิตประจำวัน
    EQ มีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนกับ Intelligence Ouotient (IQ) หรือความฉลาดทางสติปัญญา บางคนถึงกับเห็นว่า EQ สำคัญกว่า IQ ด้วยซ้ำ เนื่องจากกรณีเป็นคนฉลาดหลักแหลมนั้น หากไม่มี EQ เสียแล้วก็จะประสบปัญหามากมาย เป็นต้นว่า เกียจคร้านในการทำงาน มีพฤติกรรมต่อต้านองค์กร มีทัศนคติในแง่ลบ อยู่เสมอว่าตนเองไม่ได้รับความเป็นธรรม ชอบนินทาว่าร้านคนอื่น ชอบปล่อยข่าวลือไร้สาระ ฯลฯ ในที่สุดก็จะกลายเป็นตัวสร้างปัญหาขององค์กรและจะต้องถูกไล่ออกจากบริษัท
    สำหรับการเรียนการสอนเพื่อฝึกทักษะเกี่ยวกับ EQ นั้น สถาบันการศึกษาต้องปรับปรุงแบบการศึกษา จากเดิมที่เป็นการเรียนแบบท่องจำ ซึ่งมุ่งเน้นเพิ่ม IQ แต่เพียงอย่างเดียวก็ปรับเปลี่ยนวิธีการสอนแบบใหม่ โดยเปิดให้นักศึกษามีโอกาสพูดและแสดงความคิดเห็นในชั้นเรียนมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ยังมีกิจกรรมนอกหลักสูตรเพื่อให้นักศึกษามีโอกาสปฏิสัมพันธ์กันเองเพื่อฝึกฝนทักษะ EQ พร้อมกันไปด้วย

    ส่งเสริมทัศนคติที่จะเป็นเถ้าแก่
    ประการที่เจ็ด พัฒนาความคิดอ่านของประชาชนให้เป็นผู้ประกอบการใหม่ (Entrepreneur) ซึ่งนับว่า
    สำคัญมาก โดยเฉพาะในสหรัฐฯ ผู้ประกอบใหม่การเหล่านี้ได้ก่อตั้งธุรกิจเทคโนยีสูงจำนวนมาก บริษัทเหล่านี้เติบโตขึ้นอย่างรวดเร็ว จนกลายเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ภายในเวลาไม่กี่ปี เช่น ไมโครซอฟต์ อินเทล ซิลโก้ กูเกิล อเมซอน ฯลฯ
    ปัจจุบันหลายประเทศได้เน้นพัฒนาในด้านนี้มาก เป็นต้นว่า กรณีของสิงคโปร์ โดยนายลีกวนยู อดีตนายกรัฐมนตรีของสิงคโปร์ ได้เคยกล่าวปราศรัยเมื่อวันที่ 5 กุมภาพันธ์ 2546 ว่าปัญหาสำคัญของสิงคโปร์ คือ บุคคลที่มีความรู้ความสามารถมักเลือกที่จะมาทำงานด้านการเมือง หรือมิฉะนั้นก็เป็นข้าราชการพลเรือนหรือทหาร หรือเป็นมนุษย์เงินเดือน มีน้อยมากที่เลือกตั้งตัวเองเป็นเถ้าแก่หรือผู้ประกอบการใหม่

    การพัฒนาระบบการศึกษาตามมาตรการทั้ง 7 มาตรการนั้น เป็นมาตรการสำคัญที่หลายประเทศ
    ได้นำใช้ในการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ ซึ่งประเทศของเราน่าจะนำไปใช้ เพราะการพัฒนามนุษย์เป็นเรื่อง
    ที่มีความสำคัญ จะทำงานทุกด้านต้องอาศัยทรัพยากรมนุษย์เป็นกุญแจไขไปสู่ความสำเร็จ การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ จึงเป็นวาระแห่งชาติที่พวกเราควรที่จะนำมาปฏิบัติให้เกิดเป็นรูปธรรมที่แท้จริง เพื่อประโยชน์ของชาติเป็นสำคัญ

    นายจารุพงศ์ พลเดช
    ผู้ว่าราชการจังหวัดลพบุรี
    บันทึกความทรงจำ
    9 ตุลาคม 2551

    August 10, 2009

    การจัดทำแผนกลยุทธ HR โดย ดร.ดนัย เทียนพุฒ

    ในการจัดทำแผนกลยุทธ HR หรือ Strategic HR Planning บางครั้งอาจจะเรียก Strategic Human Capital Planning ก็ได้

    สำหรับ นศ. MBA หรือ M.Ed. ที่เรียนวิชาการบริหารทรัพยากรมนุษย์ กับ ดร.ดนัย เทียนพุฒ ซึ่งต้องจัดทำ Term paper ในเรื่องนี้สามารถดำเนินการได้ดังนี้

    1.อ่านหนังสือ การบริหาร HR ของ ดร.ดนัย เทียนพุฒ ที่่ได้รับแจกในชั้นเรียนโดยเฉพาะเล่ม 4 กลยุทธขั้นสูง Balanced Scorecard และ หาอ่านเพิ่มเติม "บริหารคนในทศวรรษหน้า" กับ "โลดแล่นไอเดียและนวัตกรรมในทะเลสีน้ำเงิน"(เล่มนี้เน้นเรื่อง Innovative Strategy)

    2.ให้ดำเนินการตามเอกสาร -การวางแผนทรัพยากรมนุษย์เชิงกลยุทธ และ Power point ประกอบการบรรยายเรื่องการวางแผนกลยุทธ HR ที่ได้ฝึกปฎิบัติไปแล้ว
    โดยที่ในรายงาน การจัดทำแผนกลยุทธ HR ของ นศ. จะมีส่วนประกอบ

    2.1 ส่วนแรก มีข้อมูลทั่วไปของธุรกิจที่เลือกมาจัดทำ แผนกลยุทธ HR
    -ขัอมูลทั่วไปของบริษัท
    -วิสัยทัศน์ และ ภารกิจของบริษัท หรือ อาจจะมีปรัชญา เป้าหมาย และกลยุทธ มาประกอบด้วย
    2.2 ส่วนที่ นศ. จะต้องพัฒนาขึ้นมา
    -วิสัยทัศน์ และ ภารกิจของ HR ซึ่งอาจจะเหลือบดูของบริษัทได้ แต่สรุปแล้ว
    การเขียนวิสัยทัศน์ และ ภารกิจของ HR ให้เป็นไปตามแนวทางที่ ดร.ดนัย เทียนพุฒ ได้สอนหลักการคิดและการเขียนให้แล้ว
    ทั้งนี้ นศ. จะต้องจัดทำสรุป SWOT Analysis ภายนอกฝ่าย HR ในด้าน PEST และ Strategy Gap Analysis หรือ จะเพิ่ม Five Forces Model มาด้วยก็ได้ กับ ภายในฝ่าย HR ด้วย 7 's Framework
    เพื่อดูว่า วิสัยทัศน์ และ ภารกิจของ HR เหมาะสมไหมอย่างไร
    2.3 จัดทำ BSC & KPIs ตามภารกิจของ HR ที่สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ HR (พิจารณาจัดทำตามที่ได้เรียนมาโดยเฉพาะ การหา Key Words ให้เจอ)
    ซึ่งจะมี อย่างน้อย 3 ภารกิจ โดย 1 ภารกิจ จะถูกแปลเป็น BSC & KPIs 1 ชุด
    และแต่ละภารกิจจะแปลออกมาเป็น
    -Strategic Objectives(S-Objectives) ใน 4 วัตถุประสงค์เชิงกลยุทธ F (การเงิน) C(ลูกค้า) I(กระบวนการภายใน) และ L(การเรียนรู้และนัวตกรรม)
    -Measure การวัดวัตถุประสงค์เชิงกลยุทธ ดังกล่าว ทั้งหมด
    -Corporate KPIs ที่แบ่งเป็น 3 ปีนั้น ในกรณีของ ภารกิจ HR จะเป็น Corporate HR KPIs / HR Department KPIs แล้วแต่ธุรกิจที่หยิบมาทำกรณีศึกษา
    สำหรับการคิด KPIs (Key Performance Indicators) ให้ใช้หลักการคิดและเขียนดังนี้
    1. ใช้ CAR -PC
    2. QCS
    3. 3 โมเดลของ KPIs คือ 1) โมเดลดัชนีความงอกงาม เป็น KPIs ที่พัฒนาขึ้นเทียบกับตัวเอง
    2) โมเดลดัชนีสัมพันธ์ เป็น KPIs ที่เทียบกับธุรกิจหรือลักษณะงานเดียวกัน และ 3) โมเดลดัชนีสัมบูรณ์ เป็น KPIs ที่ธุรกิจอื่นนำเราเป็นตัวเปรียบเทียบ
    แบบฟอร์มในเอกสาร บรรยายหน้า 13
    2.4 ในการคิดกลยุทธ ของ ฝ่าย HR หรือ Corporate HR ให้ใช้ แนวคิดของกลยุทธที่ได้มาจาก Strategy Gap Analysis โดยเฉพาะ กลยุทธ "กำจัด-ลด-เพิ่ม-สร้าง" ใน 4ด้านของ BSC & KPIs
    2.5 สรุป HR-Strategy Map ทั้ง 3 ภารกิจของ HR (รวมมาจาก ทุกภารกิจของ HR) และดูว่า KPIs ที่คิดไว้ใช้ได้ไหมหรือต้องปรับนิดหน่อย
    แบบฟอร์มในเอกสารหน้า 14

    2.6 นำ 1 ภารกิจ และ BSC & KPIs , Strategy Map ที่พัฒนาขึ้น
    มาจัดทำแผนปฏิบัตตามกลยุทธ โดย เลือกมาเพียง 1 กลยุทธ จากใน 4 ด้าน การเงิน ลูกค้า กระบวนการภายใน และ การเรียนรู้กับนวัตกรรม ตามแบบฟอร์มในเอกสารชุดแรก "การวางแผนทรัพยากรมนุษย์เชิงกลยุทธ
    (มี 2 ฟอร์ม) หรือ แบบฟอร์ม หน้า 15
    มาดำเนินการให้ครบที่เป็น Action Plan
    2.7 เอกสารอ้างอิง

    โดยทั้งหมดจัดทำในรูปแบบรายงานทางวิชาการมีการอ้างอิง 1 ชุด พร้อม CD
    กำหนดส่ง ตามระยะเวลาที่กำหนดในชั้นเรียน

    ดร.ดนัย เทียนพุฒ
    กรรมการผู้จัดการ

    August 8, 2009

    การบริหาร HR แนวใหม่ โดย ดร.ดนัย เทียนพุฒ

    เมื่่อวันที่ 13 เดือน มิ.ย. 52 ที่ผ่านมา ดร.ดนัย เทียนพุฒ ได้รับเชิญจากหลักสูตร ปริญญาโทวิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต สาขาการจัดการความรู้ ของ มสด.ให้ไปบรรยาย และแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในเรื่องใหม่ ๆ ของ แนวคิดการบริหาร HR และได้สรุปประสบการณ์ของ HR แต่ละยุคที่เคยทำพร้อมข้อคิดใหม่ ๆ และที่ถูกต้องในเรื่อง Competency based approach in HR , HR Scorecard และ The KPIs of HR ฯลฯ

    ดังนั้นจึงได้นำ Power point การบรรยายบางส่วนมาเผยแพร่ครับ



    ดร.ดนัย เทียนพุฒ
    กรรมการผู้จัดการ

    August 6, 2009

    ตัวอย่างแผนธุรกิจดอกไม้ฟ้าใส

    ต้วอย่างแผนธุรกิจ ร้านดอกไม้ฟ้าใส
    สามารถศึกษาได้จาก

    http://intranet.dip.go.th/boc/Download/Example_Business_Plan/030%20Flower%20Shop.pdf

    August 5, 2009

    หลักเกณฑ์การวัดผลตอบแทนด้านคน : HR Scorecard by Dr.Danai Thieanphut

    ความงดงามใน "ประดิษฐกรรมทางปัญญาของมนุษยชาติ" เป็นสิ่งลี้ลับที่มีการศึกษาค้นคว้า มานานนับศตวรรษเลยทีเดียว! เช่นเดียวกัน "ทรัพยากรบุคคลจะมีคุณค่า" ก็ต่อเมื่อสามารถวัดคุณค่านั้นออกมาได้
    "ทรัพยากรบุคคลหรือคน" ถ้าพิจารณาทั้งในด้านเศรษฐศาสตร์จะถือเป็นทรัพย์สิน แต่เป็นทรัพย์สินที่วัดค่าได้ยากที่สุด เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เนื่องมาจากความรู้ที่อยู่ในตัวบุคคล หากบุคคลนั้นสามารถสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ คิดค้นสิ่งใหม่และนำไปสู่ มูลค่าเชิงเศรษฐกิจได้ ความรู้นั้นก็มีค่าอเนกอนันต์ในทางกลับกันหากความรู้ที่อยู่ในตัวบุคคลสะสมไว้เรื่อยๆ ไม่สามารถนำออกมาใช้ได้ หรือ บูรณาการให้เกิด
    ความรู้ใหม่ไม่ได้ ก็จะบอกว่าบุคคลนั้นมีมูลค่าน้อย หรือ มีสาระแห่งชีวิตไม่มากนัก เมื่อดับขันธ์ไปแล้วก็ไม่มีใครจดจำได้

    นักเศรษฐศาสตร์จึงพยายามที่จะแยกแยะ "คน" เพื่อให้สามารถวัดมูลค่าในเชิงเศรษฐกิจ หรือตีค่าออกเป็นตัวเงินให้ได้ จึงเป็นที่มาของ "ทรัพย์สินที่จับต้องได้" (Tangible Assets) และ "ทรัพย์สินที่จับต้องไม่ได้" (Intangible Assets) เมื่อโลกธุรกิจก้าวสู่ยุคเศรษฐกิจใหม่ หรือหลายๆ ประเทศกำลังพยายามปรับประเทศไปสู่เศรษฐกิจฐานความรู้ (Knowledge Based Economy) หรือจะเรียกง่ายๆ ว่า เศรษฐกิจแบบเค (K-Economy) ก็ได้เช่นกัน ความสนใจในเรื่องของ ทุนทางปัญญา (IC: Intellectual Capital)
    และการจัดการความรู้ (KM: Knowledge Management) จึงเริ่มมีการพูดถึงกันมากขึ้น

    โดยสามารถจับทิศทางได้ว่า ในส่วนของ ทุนทางปัญญา จะมี กลุ่มที่สนใจทางกลยุทธ์ธุรกิจ และที่ปรึกษาหรือนักวิชาการสาย HR ให้ความสนใจ ที่จะทำการศึกษาและหาเครื่องมือวัดในด้านทุนทางปัญญาให้ชัดเจน หรือตีค่าเป็นตัวเงินให้ได้ กับกลุ่มทางด้าน IT หรือ Tech พยายามผลักดันเรื่องของ ซอฟท์แวร์ในการจัดการความรู้ คือ พยายามนำความรู้ของคนในองค์กรใส่เข้าไปใน ฐานข้อมูลความรู้ (Knowledge Database) จนเป็น คลังความรู้ที่ใหญ่มาก (Knowledge Warehousing) และทำการวิเคราะห์หรือจัดการความรู้ดังกล่าว (Data Mining) ซึ่งในทัศนะของผู้เขียนเห็นว่ายังอาจไม่ครอบคลุมในเรื่องการจัดการความรู้ถ้าเน้นในแง่มุมเฉพาะ IT หรือ Tech เท่านั้น เนื่องจากควรไปให้ไกลถึงเรื่องของ ทุนมนุษย์ (Human Capital) และกลุ่มสุดท้ายมองที่หน่วยงานหรือองค์กรด้าน HR ว่าจะวัดผลสำเร็จด้านคนอย่างไร ซึ่งมีทั้งพิจารณาในเรื่องของการวัดผลตอบแทน ด้านคน (The ROI of Human Capital) และการวัดผลสำเร็จด้าน HR (The HR Scorecard) ซึ่งในการวัดผลสำเร็จด้าน HR จะใช้ เครื่องมือคล้ายกลุ่มที่สนใจทางกลยุทธ์ธุรกิจ คือดัชนีวัดผลสำเร็จธุรกิจ (KPIs/ BSC)

    การวัดผลตอบแทนด้านคน

    ไม่ว่าจะเป็นแนวคิดหรือที่มาของทฤษฎีในเรื่องของ การวัดคุณค่าของคน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
    ที่เรียกว่า ทุนมนุษย์ (Human Capital) เช่น

    การวัดผลตอบแทนด้านคน/ ทุนมนุษย์ (The ROI of Human Capital)

    ดัชนีวัดผลสำเร็จด้าน HR (The HR Scorecard) บางครั้งผู้เขียนเรียกว่า HR-Indicators

    การวัดมูลค่าเพิ่มของทุนทางปัญญา (Intellectual Capital Value)

    ผู้เขียนคิดว่าถ้าผู้บริหารธุรกิจ ผู้บริหาร HR หรือผู้ที่สนใจในเรื่องของ "คนหรือทรัพยากรบุคคล"
    จำเป็นต้องมีพื้นฐานหรือทำความเข้าใจในเรื่องของ "โมเดลใหม่ของ HR สำหรับศตวรรษที่ 21"
    "ทุนทางปัญญา (ICV: Intellectual Capital Value)" แล้วถึงจะมาทำความเข้าใจใน 3 เรื่องดังกล่าวข้างต้น คือ การวัดผลตอบแทนด้านคน/ ทุนมนุษย์ ดัชนีวัดผลสำเร็จด้าน HR และการวัดมูลค่าเพิ่มของทุนทางปัญญา

    ดร.ดนัย เทียนพุฒ
    กรรมการผู้จัดการ

    August 4, 2009

    ตัวอย่างแผนธุรกิจ บจก.ผลิตภัณฑ์นมข้าวไทย

    ตัวอย่างแผนธุรกิจ บจก.ผลิตภัณฑ์นมข้าวไทย
    1. สามารถDownload ตัวอย่างแผนธุรกิจได้ที่

    2.บทสรุปผู้บริหาร
    นำมาจาก


    บริษัท ผลิตภัณฑ์นมข้าวไทย จำกัด

    เป็นบริษัทผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มที่มีคุณค่าทางโภชนาการ โดยใช้วัตถุดิบจากข้าวไทย จึงเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้แก่ข้าวและให้ความสนับสนุนเกษตรกรไทย โดยผลิตภัณฑ์ที่ออกสู่ตลาดในปีแรก คือ ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มนมข้าว ภายใต้ตรายี่ห้อ "Supreme Rice" ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์แรกของบริษัท โดยการค้นคว้าและวิจัยจากทีมงานที่เชี่ยวชาญ ดร. เชิดชัย เชี่ยวธีรกุล คณะไบโอเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ผลิตภัณฑ์นมข้าวมีคุณค่าทางโภชนาการสูง ไม่มีคลอเลสเตอรอล และน้ำตาลแลคโตส ดังนั้น นมข้าวจึงเป็นผลิตภัณฑ์ที่เหมาะสำหรับผู้ที่อยู่ในวัยทำงาน ผู้สูงอายุ ผู้ควบคุมน้ำหนัก และผู้ที่ไม่สามารถย่อยน้ำตาลแลคโตสได้ จึงเป็นทางเลือกใหม่สำหรับผู้ที่ใส่ใจในสุขภาพอย่างแท้จริง นอกจากนี้ ผลิตภัณฑ์นมข้าวของบริษัทมีความแตกต่างจากคู่แข่งขันทั้งด้านรสชาติที่มีความหลากหลายและรูปแบบผลิตภัณฑ์ โดยคำนึงถึงความต้องการของผู้บริโภคเป็นสำคัญ ผลิตภัณฑ์นมข้าวของบริษัทเป็นผลิตภัณฑ์ที่ผ่านกระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐาน เทคโนโลยีทันสมัยและรักษาสภาพแวดล้อม บริษัทวางแผนพัฒนาผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มความหลากหลายแก่ผู้บริโภค

    ปัจจุบันตลาดของนมข้าวยังไม่เป็นที่รู้จักของผู้บริโภคมากนัก มีภาวะการแข่งขันต่ำ คือ มีคู่แข่งเพียง 4 รายเท่านั้น ดังนั้น ภาวะอุตสาหกรรมจึงจะพิจารณาจากภาวะอุตสาหกรรมของสินค้าทดแทน นั่นคือ นมวัวและนมถั่วเหลืองเป็นหลัก อุตสาหกรรมนมพร้อมดื่มในปี 2543 มีมูลค่าตลาดนมพร้อมดื่มและผลิตภัณฑ์จากนมในประเทศประมาณ 40,000 ล้านบาท โดยมีอัตราการขยายตัวเฉลี่ยประมาณร้อยละ 25% และตลาดนมถั่วเหลือง มีมูลค่าประมาณ 2,600 ล้านบาท มีอัตราการขยายตัวเพิ่มขึ้นทุกๆ ปี เฉลี่ยปีละ 10%

    จากผลการวิจัยตลาดนมพบว่า ผู้บริโภคดื่มนมเพื่อสุขภาพมากที่สุด ประเภทของนมเป็นประเภทพลาสเจอร์ไรซ์ และรสชาติที่ผู้บริโภคชอบ คือ รสจืด รสช็อคโกแลค และรสหวานตามลำดับ ขนาดที่ซื้อคือขนาดเล็ก โดยปัจจัยที่ผู้บริโภคจะคำนึงถึงในการซื้อนมคือ รสชาติอร่อย มีคุณค่าทางโภชนาการสูง ราคา และเลือกซื้อนมที่ซุปเปอร์มาร์เก็ตและซุปเปอร์สโตร์มากที่สุด เมื่อวัดระดับการรู้จักผลิตภัณฑ์นมข้าวของผู้บริโภคจะเห็นว่ามีผู้บริโภครู้จักผลิตภัณฑ์นมข้าว 44% และมีผู้เคยดื่มนมข้าวเพียง 22% และจากผลการทดลองชิมจะเห็นว่ากลุ่มตัวอย่างรู้สึกชอบรสชาติและกลิ่นของผลิตภัณฑ์นมข้าวมาก รูปแบบผลิตภัณฑ์ควรเป็นประเภทพร้อมดื่ม และกลุ่มเป้าหมายจะมีช่วงอายุตั้งแต่ 21 ปีขึ้นไปจะมีแนวโน้มการซื้อนมข้าวมาก

    ในด้านราคา จากผลการวิจัยจะเห็นว่าราคามีผลต่อการตัดสินใจซื้อเป็นอันดับ 3 ดังนั้นจึงจัดว่า ราคามีผลต่อการตัดสินใจซื้อนมข้าว คือ มี Price Sensitivity สูง จึงใช้กลยุทธ์การตั้งราคาโดยคำนึงHigh-Value และ Markup Pricing คือ การตั้งราคาตามคุณค่าที่ผู้บริโภคยอมรับผลิตภัณฑ์ ในระดับที่ต่ำกว่าคู่แข่งขันเล็กน้อยเพื่อให้คุณค่าต่อผู้บริโภคมากที่สุดสำหรับผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพสูงเท่าเทียมกันและจะตั้งราคาโดยคำนึงถึงต้นทุนการผลิตด้วย และเพื่อดึงดูดใจผู้บริโภค และระดับราคาที่ผู้บริโภคเห็นว่าเหมาะสมคือ 10 บาท ดังนั้นจึงตั้งราคานมข้าว 200 cc. ที่ราคา 10 บาท

    การจำหน่าย บริษัทจะมี 3 ช่องทางหลักคือ ขายตรงผ่าน Kiosk ตามย่านธุรกิจของกรุงเทพ กระจายสินค้าผ่านบริษัทแทรดดิ้งซี่งมีความเชี่ยวชาญการกระจายสินค้าอุปโภคและบริโภค และกระจายสินค้าผ่าน Modern Trade คือ Makro และ Tops Supermarket การส่งเสริมการขายเน้นกระตุ้นให้เกิดการทดลองชิมและซื้อตามจุดขาย ควบคู่กับการให้ส่วนลดการค้าเพื่อกระตุ้นร้านค้าในการจำหน่ายสินค้า นอกจากนี้ บริษัทมีการร่วมมือกับช่องทางกระจายสินค้าเพื่อวางแผนจัดรายการส่งเสริมการขาย ในระยะแรกของจำหน่ายสินค้า บริษัทมีการใช้สื่อโฆษณาที่สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายผ่านสื่อต่างๆ เช่น รายการวิทยุ สิ่งพิมพ์ และ Tuk Tuk Ads. ควบคู่กับกิจกรรมด้านการประชาสัมพันธ์ เพื่อให้สินค้าเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลาย

    บริษัท ผลิตภัณฑ์นมข้าวไทย จำกัด มีเงินลงทุนทั้งสิ้น 30 ล้านบาท โดยมีทุนจดทะเบียนทั้งสิ้น 15 ล้านบาท และกู้จากบรรษัทเงินทุนอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย 15 ล้านบาท IRR เท่ากับ 37.7% และมี NVP 75.5 ล้านบาท

    ที่มา:สุภาภรณ์ ศรีเลขะรัตน และคณะ.(2544)."ผลิตภัณฑ์นมข้าว." โครงการทางธุรกิจประเภทแผนธุรกิจ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์.


    July 29, 2009

    THAILAND TOP 100 HR 2009 :Dr.Danai Thieanphut

    พิธีมอบรางวัลนักทรัพยากรมนุษย์ดีเด่นแห่งประเทศไทย
    (Thailand Top 100 HR Award)
    ณ หอประชุมศรีบูรพา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์
    วันพุธที่ 29 กรกฎาคม ปีพุทธศักราช 2552 เวลา 15.00-18.00 น.
    เพื่อยกย่องและเชิญชูเกียรติผู้ทำคุณประโยชน์แก่สังคมไทย

    ดร.ดนัย เทียนพุฒ รางวัลนักทรัพยากรมนุษย์ดีเด่นแห่งประเทศไทย ปีพ.ศ.2552









    July 25, 2009

    ตัวอย่างการทำ Case Study Presentation ของ นศ. M.Ed. SJU

    รายงานวิเคราะห์และเปรียบเทียบ สถานศึกษาภาครัฐและเอกชน ในเรื่อง การบริหารทรัพยากรบุคคล



    กลุ่ม นางฑลิกา ค้าขาย
    ฤดีวัลย์ แตงมณี
    จำเรียง น้อยโสภา
    สุรชัย อนงคณะศักดิ์

    July 11, 2009

    HR Course Outline for MBA : SDU- Hua Hin Campus

    น.ศ. MBA SDU ศูนย์หัวหิน ศึกษารายละเอียดรายวิชา "การจัดการทรัพยากรมนุษย์ " ได้ตามที่ post ไว้ /ดร.ดนัย เทียนพุฒ 11 ก.ค. 52

    July 2, 2009

    แนวทางการทำ "แผนธุรกิจ(Business Plan)" โดย ดร.ดนัย เทียนพุฒ

    นศ. MBA , SDU ศูนย์โคราช ที่เรียนรายวิชา ความเป้นผู้ประกอบการ(Entrepreneurship) ในการทำรายงานประจำวิชา(Term paper) เกี่ยวกับการจัดทำ แผนธุรกิจ(Business plan) ให้ใช้แนวทางต่อไปนี้

    แผนธุรกิจ[Business Plan]

    1.บทสรุปผู้บริหาร[Executive Summary]
    ย่อเรื่องราวของแผนธุรกิจที่เป็นสาระสำคัญประมาณ 1-3 หน้า
    1)Vision & Mission
    2)Objectives
    3)Keys to Success
    2.ประวัติบริษัท [Company Profile]
    -ที่มาของการจัดตั้งธุรกิจ/จุดเริ่มต้น
    -กลุ่มทีมบริหาร
    -วิสัยทัศน์ ภารกิจของบริษัท
    3.ผลตอบแทนในการลงทุนและการวิเคราะห์ รวมถึงแหล่งทุน [ROI & Capitalization] เป็นการพิจารณาผลตอบแทนในการลงทุน การวิเคราะห์แหล่งทุนของผู้ประกอบการในระยะ 1-3 ปี
    4.Products and Services
    -Business Model
    -Strategy Canvas
    โดยจัดทำ โมเดลธุรกิจ วิเคราะห์ Strategy canvas และนำเสนอผลิตภัณฑ์หรือ บริการใหม่
    5.Industry & Marketing Analysis Summary
    วิเคราะห์ตามแนวทางของการจัดทำแผนกลยุทธ
    6.Strategy and Implementation Summary
    -Competitive Edge
    -Marketing Strategy
    -Sales Strategy
    7.Management Summary
    อาทิ แผนการบริหาร แผนปฏิบัติการ แผนHR แผน IT แผนสำรอง ฯลฯ
    8.Financial Plan (1-3 yrs)
    -Important assumptions
    -Break-event analysis
    -Projected profit and loss
    -Projected cash flow
    -Projected balanced sheet
    -Business ratio

    โดยนำส่งพร้อม ข้อสอบประจำเทอม หลังจากปิดการเรียนการสอน 1 สัปดาห์

    ดร.ดนัย เทียนพุฒ
    4 ก.ค.52