เริ่มจากผู้เขียนได้ฉายภาพ การจัดการศึกษาในอดีต ที่เหมาะสมในสมัยนั้นเพื่อผลิตบุคลากรรองรับระบบราชการและการบริหารประเทศ ไล่มาถึงการนำการศึกษาของญี่ปุ่นมาครอบการศึกษาไทย และก็ปรับเปลี่ยนเรื่อยมา บทเรียนที่สรุปได้
1) เรามีความเป็นอารยะในด้านการจัดการศึกษาให้กับประชาชน
2) เราไม่ได้มุ่งเน้น อุตสาหกรรม และเกษตรกรรม แต่เราเอาที่ทำได้คือ พาณิชยกรรม
3) ทศวรรษแรกของการปฏิรูปการศึกษา
-มีความสำเร็จ ในด้านการออก พรบ.การศึกษาชาติ (ท่าน ดร.วินิจ)
-ครูมีตำแหน่งทางวิชาการที่ชัดขึ้น (ท่าน ดร.วินิจ)
-เข้าถึงเด็กมากขึ้น (ท่าน ดร.วินิจ)
-ผลสัมฤทธิ์ ทางการเรียนถ้าดูผลสอบ O-Net วิชาหลัก 5 วิชา ค่าเฉลี่ย(ต่ำกว่า 50) ตกต่อเนื่องมาตลอดทศวรรษ (อาจมีบางปีในวิชาภาษาไทย พ้นน้ำนิดหน่อย)
-การปรับเงินเดือนครู ที่เป็นรูปธรรม
ความท้าทายในอนาคตของการศึกษาในทรรศนะของผู้เขียน
อย่างแรก ทำอย่างไรเราจึงจะไม่จัดการศึกษาในแบบทฤษฎีเอ็กซ์(Theory X) แต่เป็นทฤษฎีใหม่
-เป็นการศึกษา ที่มี" หัวใจแห่งความเสรี" ที่อยากจะโบยบินไปหาความรู้ตามแต่ใจปรารถนา
-เป็นการศึกษาแบบ " เป้าหมายเสรี " โดยใครอยากมีเป้าหมายเสรี ต้องยอมจ่ายเอง แต่ถ้าอยากให้รัฐจ่ายก็ เป็นเป้าหมายบังคับ ตามมาตรฐานไป ไม่ใช่มีแค่แบบเดียว ... One-Size -Fit -All
ประการต่อมา การวัดผลสัมฤทธิ์ ทางการศึกษาต้องเปลี่ยนเป็นการวัดทั้งช่วงชั้น ไม่ใช่วัดวิชาคณิตศาสตร์ในชั้นสุดท้าย(เช่น ม.3) แต่ต้องวัดวิชาคณิตศาสตร์ จากการสอนของอาจารย์ (ผมว่ามันศักดิ์สิทธิ์ กว่าคำที่ใช้ในปัจจุบัน(ครู)แต่ในยุค 20ปีที่แล้วกลับกันครับ)
ทั้ง 3 ชั้น(ม.1-ม.3) การวัดผลงานอาจารย์เพื่อให้ความดีความชอบต้องวัดทั้ง 3 ชั้นร่วมกัน เพื่อให้อาจารย์คณิตฯ ทั้ง 3 ชั้นสอนเป็นทีม
ประการที่สาม ทำอย่างไรจึงจะให้เด็กสอบเกินค่าเฉลี่ยในทศวรรษหน้า
ต้องกลับมาพิจารณาใหม่ที่ว่า
......เราคิดว่าเราเข้าใจผู้ปกครอง จริงๆ เราอาจไม่เข้าใจจริง เราจึงไม่รู้ว่า พ่อ-แม่เด็กต้องการอะไร คงไม่ใช่จบ ม.3 ไปเรียนอาชีพ เพราะมีงาน 500,000 ตำแหน่ง แต่ต้องมาถามว่า เรียนอาชีวะเพื่ออะไร หรือเพราะอุตสาหกรรมต้องการแรงงานราคาถูก ใช้เครื่องจักรโบราณ(ประเทศไทยในอุตสาหกรรมครึ่งหนึ่งเป็นเครื่องจักรเก่า ไม่ได้ผลิตภาพถึง 100 %) แต่ผู้ประกอบการไม่ลงทุนเครื่องจักรสมัยใหม่ แรงงานที่วุฒิสูงกว่าอาชีวะ
....เราเข้าใจว่า เรารู้ถึงพฤติกรรมเด็ก แต่ จริง ๆ เราไม่รู้ว่าเด็กต้องการเรียนแบบไหน ไม่อยากถูกบังคับรอบตัวไปหมด เพราะคิดว่าถ้าไม่บังคับจะกลายเป็นเด็กเลวตามที่คนกำหนดนโยบายคิด
....เราไม่เข้าใจอย่างแท้จริงว่า ผู้ใช้ต้องการคนแบบไหนที่จบการศึกษาออกมา
---การศึกษาในระดับอุดมศึกษา ที่ท่องบ่นแต่คำว่า คุณภาพ ๆๆๆ ทำแต่ มคอ. (ไม่ควรอ่าน) มันทำให้ ประเทศชาติแข่งขันกับเพื่อนบ้านและเวทีโลกได้จริง ๆ หรือ ...หรือนั่งมองตาปริบ ๆ เห็นประเทศที่ล้าหลังแซงหน้า แซงโค้ง ไปประเทศ 2 -3, 4 , 5....แล้ว สุดท้ายเราบอกว่า มีคุณภาพเพื่อแข่งกับตัวเอง (เพราะต่ำกว่าเราหันไปดูไม่มีอีกแล้ว)
---เราแก้ปัญหาปลายเหตุ จึงเป็นอะไรที่ชอบแก้เป็นเรื่อง ๆ เช่นคิดวิเคราะห์ไม่เป็น ก็ออกข้อสอบวัดการคิดวิเคราะห์ เพราะเราจัดการศึกษาแบบทฤษฎีเอ็กซ์ ผู้กำหนดนโยบายการศึกษาของ เราสนใจเพียงระบบรายงานตามเอกสาร สนใจเพียงหาให้ได้ว่า " ความผิดของท่านคืองานของเรา" เป็นยุคแห่งการเบ่งบานของ องค์กรทางการศึกษา ฯลฯ
สิ่งสำคัญต่ออุดมศึกษาไทย ..เราต้องกล้ายุบ-ควบรวม-เลิก สถาบันการศึกษาที่เป็นความซ้ำซ้อน การใช้งบประมาณอย่างมหาศาลที่ไม่มีทางพอ เพราะมีอุปกรณ์เหมือนกันทุกมหา'ลัย
เรา น่าจะมี มหาวิทยาลัยวิทยาศาสตร์แห่งชาติ (ทีเดียว) มหาวิทยาลัยวิศวกรรมศาสตร์แห่งชาติ (ที่เดียว) ไม่ต้องไปเที่ยวเปิด วิทยาเขต ศูนย์ทั่วประเทศ ดังกับเหมือนมีมหา'ลัยตั้ง อยู่ภาคเหนือ กลับอยากมามีวิทยาเขตที่ ปากอ่าวไทย เพราะ มี มหา'ลัยจาก กทม. ขึ้นไปเปิดภาคเหนือ ฯลฯ แล้วมีพวกมาไล่ปิดด้วยความรู้สึกภูมิใจ(ใคร) อย่างยิ่ง
ประการสุดท้าย (ครู-)อาจารย์สายพันธุ์ใหม่ ต้องเป็นผู้สอนที่
เก่ง ดี มีสุข มีความหมายเป็นที่เข้าใจอยู่แล้ว แต่ต้องขยายมากกว่านั้นอีก
1) ผู้สอน ต้องสามารถเป็นผู้สร้างแรงบันดาลใจ ให้แก่ผู้เรียน
2) ต้องเป็น " Play Maker" ในการจัดการเรียนการสอน -ผู้สร้างสรรค์การเรียนรู้
3) ต้องเป็นบุคคลที่สามารถ สร้าง สิ่งที่เรียกว่า " Social Contributor"
และเราอยากเห็นมีการวิจัย ใหม่ ๆ ที่เป็นทัศนภาพใหม่ (New Scenarios) ในด้านการศึกษาที่ควบคู่ไปกับอนาคตของสังคมใหม่ไม่ใช่ภาพเก่า ภาพในความทรงจำถึงวันวานของการศึกษาไทย ไม่อยากให้เกิดภาพของการขีดวงจำกัดให้มีเพียงชนชั้นเราเท่านั้น.....
นี่คือ ทิศทางอนาคตการศึกษาไทย ที่น่าพอจะมีหวัง
ดร.ดนัย เทียนพุฒ
รางวัลนักทรัพยากรมนุษย์ดีเด่
กรรมการผู้จัดการ
บจก.ดี เอ็น ที คอนซัลแตนทฺ์