ผู้สอน ดร.ดนัย เทียนพุฒ
ป.โท บริหารการศึกษาและภาวะผู้นำ
ม.เซนต์จอห์น
ป.โท บริหารการศึกษาและภาวะผู้นำ
ม.เซนต์จอห์น
โจทย์ ให้นักศึกษาอ่านบทความต่อไปนี้แล้วตอบคำถาม
ตอบคำถาม ก่อนเข้าเรียนหรือ ส่งภายใน เวลา 13.15 น. งานรายบุคคล
1.โดยรวมแล้วท่านมีทัศนะเกี่ยวกับบทความนี้อย่างไร โดยจงวิจารณ์อย่างกว้างขวาง
และท่านเห็นด้วยหรือไม่อย่างไร
2.ในด้านการบริหารการศึกษาท่านคิดว่าจะมีอะไร ที่สามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้
ตอบภายหลังจากที่ได้รับความรู้แล้ว หลังพักเบรค เวลา 14.45 น. งานกลุ่ม 5-6 คน
3.ตามหลักวิชา HR ที่ท่านได้เรียนรู้มาท่านคิดว่า “คนเลือกองค์กร องค์กรเลือกคน”
กลุ่มท่านจะมีแนวทางอย่างไร
-การกำหนดปรัชญา และหลักปฏิบัติในด้านการรับคนขององค์กร (ทั่วไป และด้านการศึกษา)
-กรณีนี้ (ตามที่ได้อ่าน ตย.ของแต่ละบริษัท) ท่านจะมีวิธีดำเนินการอย่างในการรับคน ที่เป็น
Gen C/Gen i/Gen Net (คนรุ่นใหม่ในปัจจุบันและอนาคตที่จะเข้ามาทำงานในองค์กร)
--------------------------------------------------------------------------
คนเลือกองค์กร องค์กรเลือกคน ธุรกิจเปิดเกมรุกหมายตาว่าที่พนักงาน
(อ้างจาก
วันที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 ปีที่ 34 ฉบับที่ 4263 ประชาชาติธุรกิจ
http://www.prachachat.net/view_news.php?newsid=02edu01181153§ionid=0222&day=2010-11-18)
แม้ในแต่ละปีจะมีบัณฑิตปริญญาตรีจบจากสถาบันการศึกษาไม่ต่ำกว่า 3-4 แสนคน แต่ความขาดแคลนแรงงานที่ตรงกับความต้องการของธุรกิจยังคงเป็นหนังเรื่องยาวที่แก้ไม่จบ จากการผลิตบัณฑิตไม่สอดคล้องกับตลาดแรงงานที่เกิดขึ้นพร้อมกับปัญหาการว่างงาน
ถึงธุรกิจขนาดใหญ่จะมีความได้เปรียบในการคัดเลือกบุคลากรระดับหัวกะทิก่อนใคร เนื่องจากคนเก่งย่อมต้องการทำงานในบริษัทที่มีความมั่นคง แต่ก็ยังมีการแย่งชิงกันอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะที่วันนี้คนเก่งกลับเป็นผู้เลือกองค์กรที่ตนเองอยากเข้าทำงาน องค์กรจึงต้องทำงานเชิงรุกมากขึ้น
ไฉไล โกมารกุล ณ นคร ที่ปรึกษาบริหารทรัพยากรบุคคล บริษัท โอสถสภา จำกัด กล่าวว่า ตอนนี้การว่าจ้างในตลาดแรงงานเป็นของคนที่เรียนจบมากกว่าบริษัท เพราะขณะนี้คนที่เรียนจบจะเป็นผู้เลือกองค์กร ต่างจากสมัยก่อนที่บริษัทเป็นผู้เลือก ขณะนี้หลายบริษัทจึงต้องจัดกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อเข้าถึงกลุ่มคนในแบบที่ต้องการมากยิ่งขึ้น
"อย่างเรา มีโครงการผู้จัดการฝึกหัดในระดับปริญญาโทให้มาเรียนรู้งาน 18 เดือน เพื่อฝึกให้ก้าวไปสู่การเป็นผู้บริหารระดับสูง เพราะหลายองค์กรก็พยายามหากลุ่มคนเดียวกัน ทำให้เกิดการแย่งชิงคนในตลาด"
นอกจากนี้ยังมีอีกโครงการของโอสถสภาที่เพิ่งจบไปหมาด ๆ "Osotspa Talent Camp" ที่จัดต่อเนื่องมากว่า 3 ปี โดยคัดเลือกเด็กหัวกะทิที่กำลังศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยปีสุดท้าย จากทั่วประเทศมาเข้าค่ายทำกิจกรรมเรียนรู้เกี่ยวกับการบริหารธุรกิจ การตลาด การขาย การผลิต รวมถึงการวางแผนสื่อ จากผู้บริหารของโอสถสภา โดยมีจุดประสงค์ข้อหนึ่งเพื่อต้องการค้นหาเพชรเม็ดงามที่จะมาเป็นว่าที่พนักงานขององค์กรในอนาคต
http://www.prachachat.net/view_news.php?newsid=02edu01181153§ionid=0222&day=2010-11-18)
แม้ในแต่ละปีจะมีบัณฑิตปริญญาตรีจบจากสถาบันการศึกษาไม่ต่ำกว่า 3-4 แสนคน แต่ความขาดแคลนแรงงานที่ตรงกับความต้องการของธุรกิจยังคงเป็นหนังเรื่องยาวที่แก้ไม่จบ จากการผลิตบัณฑิตไม่สอดคล้องกับตลาดแรงงานที่เกิดขึ้นพร้อมกับปัญหาการว่างงาน
ถึงธุรกิจขนาดใหญ่จะมีความได้เปรียบในการคัดเลือกบุคลากรระดับหัวกะทิก่อนใคร เนื่องจากคนเก่งย่อมต้องการทำงานในบริษัทที่มีความมั่นคง แต่ก็ยังมีการแย่งชิงกันอยู่ไม่น้อย โดยเฉพาะที่วันนี้คนเก่งกลับเป็นผู้เลือกองค์กรที่ตนเองอยากเข้าทำงาน องค์กรจึงต้องทำงานเชิงรุกมากขึ้น
ไฉไล โกมารกุล ณ นคร ที่ปรึกษาบริหารทรัพยากรบุคคล บริษัท โอสถสภา จำกัด กล่าวว่า ตอนนี้การว่าจ้างในตลาดแรงงานเป็นของคนที่เรียนจบมากกว่าบริษัท เพราะขณะนี้คนที่เรียนจบจะเป็นผู้เลือกองค์กร ต่างจากสมัยก่อนที่บริษัทเป็นผู้เลือก ขณะนี้หลายบริษัทจึงต้องจัดกิจกรรมต่าง ๆ เพื่อเข้าถึงกลุ่มคนในแบบที่ต้องการมากยิ่งขึ้น
"อย่างเรา มีโครงการผู้จัดการฝึกหัดในระดับปริญญาโทให้มาเรียนรู้งาน 18 เดือน เพื่อฝึกให้ก้าวไปสู่การเป็นผู้บริหารระดับสูง เพราะหลายองค์กรก็พยายามหากลุ่มคนเดียวกัน ทำให้เกิดการแย่งชิงคนในตลาด"
นอกจากนี้ยังมีอีกโครงการของโอสถสภาที่เพิ่งจบไปหมาด ๆ "Osotspa Talent Camp" ที่จัดต่อเนื่องมากว่า 3 ปี โดยคัดเลือกเด็กหัวกะทิที่กำลังศึกษาอยู่ในมหาวิทยาลัยปีสุดท้าย จากทั่วประเทศมาเข้าค่ายทำกิจกรรมเรียนรู้เกี่ยวกับการบริหารธุรกิจ การตลาด การขาย การผลิต รวมถึงการวางแผนสื่อ จากผู้บริหารของโอสถสภา โดยมีจุดประสงค์ข้อหนึ่งเพื่อต้องการค้นหาเพชรเม็ดงามที่จะมาเป็นว่าที่พนักงานขององค์กรในอนาคต
"เราจะมีทีมงานเข้าไปประชาสัมพันธ์กิจกรรมแบบเชิงรุก ในแต่ละมหาวิทยาลัยและมีการจัดประชุมให้ทราบเกี่ยวกับโครงการ ประชาสัมพันธ์ผ่านเว็บของเราและเว็บมหาวิทยาลัย นักศึกษาที่สามารถร่วมกิจกรรมต้องมีเกรดเฉลี่ย 2.5 ขึ้นไป มีประวัติในการทำกิจกรรมและดูมีความ มุ่งมั่นในการทำงาน และเด็กที่ผ่านค่ายนี้ก็จะเป็นกลุ่มแรก ๆ ที่เราจะให้ติดต่อมาสัมภาษณ์ เมื่อมีตำแหน่งว่าง ซึ่งขณะนี้ได้รับเข้าทำงานแล้ว 2 คน และเข้าก็ทำงานได้เป็นที่น่าพอใจอย่างมาก" ไฉไลกล่าว
นอกเหนือจากการตอบโจทย์ด้านการสรรหาบุคลากร การทำกิจกรรมกับเด็กยังทำให้ได้เรียนรู้พฤติกรรมของคนรุ่นใหม่มากขึ้น
"เราอยู่มา 120 ปี มีวิวัฒนาการของผลิตภัณฑ์ ขยายไปสู่ผลิตภัณฑ์ที่เป็นไลฟ์สไตล์มากขึ้น โครงการนี้จะเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ชื่อเสียงของโอสถสภาให้รู้จักมากกว่าบริษัทที่ผลิตยา และได้เรียนรู้พฤติกรรมคนรุ่นใหม่ระหว่างทำกิจกรรม ขณะที่เด็กที่เข้าร่วมโครงการก็จะรู้สึกดีต่อแบรนด์และทำหน้าที่ไม่ต่างจากทูตเมื่อเราต้องการความช่วยเหลือหรืออย่างน้อยอยากให้เขารู้สึกว่าเราเป็นองค์กรหนึ่งที่อยู่ในใจ" ไฉไลกล่าว
เช่นเดียวกับธุรกิจขนาดใหญ่ อย่างบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ ที่เริ่มมีโครงการลักษณะนี้อย่างจริงจังเป็นครั้งแรก ในชื่อโครงการ "CPF Future Career 2010" ที่เข้าไปให้ความรู้เรื่องการสมัครและสัมภาษณ์งาน รวมถึงรับสมัครนักศึกษาที่กำลังจะจบเข้าทำงานโดยจะจัดกิจกรรมใน 3 มหาวิทยาลัย คือ มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
ปริโสทัต ปุณณภุม รองกรรมการอาวุโสด้านบริหารทรัพยากรบุคคล บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ กล่าวว่า นอกจากโครงการนี้จะได้คืนประโยชน์ให้กับสถาบันการศึกษาที่มีเป้าหมายในการผลิตบัณฑิตให้ได้งานทำ การที่เราได้เข้ามาคัดเลือกเด็กถึงสถาบัน จะรับรู้ความรู้สึกของเขาอย่างใกล้ชิด ทำให้ความคาใจบางอย่างที่เคยมีหายไปเมื่อเขามีโอกาสเข้ามาทำงานก็จะรู้จักบริษัทเป็นอย่างดี
"จากที่สัมผัสเด็กในพื้นที่ต่าง ๆ มองว่าเราเป็นบริษัทที่ทำงานด้านเกษตรมากกว่าธุรกิจอาหารเราก็ต้องทำหน้าที่เปลี่ยนให้เด็กรู้ ถ้าเราบอกว่าเป็นบริษัทชั้นนำแล้วไม่ต้องแคร์ใครแบบนั้นไม่ได้ เพราะทั้งโลกคือการแข่งขัน แต่เราต้องปรับตนเองอยู่เสมอ การแข่งขันในการชิงตัวเด็กในบางสาขายังมีสูง ใครอยู่นิ่งถอยหลังแน่นอน ต้องก้าวเกินคนอื่นหนึ่งก้าว เช่นเดียวกับงานด้านทรัพยากรบุคคล ที่เราต้องก้าวเกินคนอื่นด้วยเช่นกัน" ปริโสทัตกล่าว
พร้อมกันนั้นองค์กรยังต้องปรับตนเองเพื่อทำงานกับคนยุค Gen Y ด้วย
เขากล่าวด้วยว่า ต้องยอมรับว่าคนที่จะเข้ามาในบริษัทเป็นคน Gen Y ไม่ใช่เด็กปรับตัว แต่องค์กรก็ต้องปรับตัวด้วย
"ทุกวันนี้ทั้งมหาวิทยาลัยและองค์กรก็ให้ความสำคัญกับคนยุค Gen Y ภาพลักษณ์ของบริษัทเป็นเรื่องที่คนยุค Gen Y ให้ความสนใจ อยู่แล้วก้าวหน้าหรือไม่ เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของเขาหรือไม่ อย่างที่เราปรับ คือ สภาพแวดล้อมในการทำงานให้เหมาะสม และวิธีการบริหารจัดการว่าคนรุ่นใหม่ชอบแสดงความคิดเห็นที่คนรุ่นก่อนต้องยอมรับ" ปริโสทัตกล่าวทิ้งท้าย
หน้า 31
เช่นเดียวกับธุรกิจขนาดใหญ่ อย่างบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ ที่เริ่มมีโครงการลักษณะนี้อย่างจริงจังเป็นครั้งแรก ในชื่อโครงการ "CPF Future Career 2010" ที่เข้าไปให้ความรู้เรื่องการสมัครและสัมภาษณ์งาน รวมถึงรับสมัครนักศึกษาที่กำลังจะจบเข้าทำงานโดยจะจัดกิจกรรมใน 3 มหาวิทยาลัย คือ มหาวิทยาลัยขอนแก่น มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
ปริโสทัต ปุณณภุม รองกรรมการอาวุโสด้านบริหารทรัพยากรบุคคล บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือซีพีเอฟ กล่าวว่า นอกจากโครงการนี้จะได้คืนประโยชน์ให้กับสถาบันการศึกษาที่มีเป้าหมายในการผลิตบัณฑิตให้ได้งานทำ การที่เราได้เข้ามาคัดเลือกเด็กถึงสถาบัน จะรับรู้ความรู้สึกของเขาอย่างใกล้ชิด ทำให้ความคาใจบางอย่างที่เคยมีหายไปเมื่อเขามีโอกาสเข้ามาทำงานก็จะรู้จักบริษัทเป็นอย่างดี
"จากที่สัมผัสเด็กในพื้นที่ต่าง ๆ มองว่าเราเป็นบริษัทที่ทำงานด้านเกษตรมากกว่าธุรกิจอาหารเราก็ต้องทำหน้าที่เปลี่ยนให้เด็กรู้ ถ้าเราบอกว่าเป็นบริษัทชั้นนำแล้วไม่ต้องแคร์ใครแบบนั้นไม่ได้ เพราะทั้งโลกคือการแข่งขัน แต่เราต้องปรับตนเองอยู่เสมอ การแข่งขันในการชิงตัวเด็กในบางสาขายังมีสูง ใครอยู่นิ่งถอยหลังแน่นอน ต้องก้าวเกินคนอื่นหนึ่งก้าว เช่นเดียวกับงานด้านทรัพยากรบุคคล ที่เราต้องก้าวเกินคนอื่นด้วยเช่นกัน" ปริโสทัตกล่าว
พร้อมกันนั้นองค์กรยังต้องปรับตนเองเพื่อทำงานกับคนยุค Gen Y ด้วย
เขากล่าวด้วยว่า ต้องยอมรับว่าคนที่จะเข้ามาในบริษัทเป็นคน Gen Y ไม่ใช่เด็กปรับตัว แต่องค์กรก็ต้องปรับตัวด้วย
"ทุกวันนี้ทั้งมหาวิทยาลัยและองค์กรก็ให้ความสำคัญกับคนยุค Gen Y ภาพลักษณ์ของบริษัทเป็นเรื่องที่คนยุค Gen Y ให้ความสนใจ อยู่แล้วก้าวหน้าหรือไม่ เหมาะกับไลฟ์สไตล์ของเขาหรือไม่ อย่างที่เราปรับ คือ สภาพแวดล้อมในการทำงานให้เหมาะสม และวิธีการบริหารจัดการว่าคนรุ่นใหม่ชอบแสดงความคิดเห็นที่คนรุ่นก่อนต้องยอมรับ" ปริโสทัตกล่าวทิ้งท้าย
หน้า 31
ผู้บันทึกข้อสอบ ดร.ดนัย เทียนพุฒ
วันที่ 20 พ.ย.53
No comments:
Post a Comment